หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2565

อโหสิกรรม...

 อโหสิกรรม

เถิดนะคนดี......…….


*อโหสิกรรมที่ยิ่งใหญ่

ของคุณแม่ท่านหนึ่ง*


(เรื่องจริงที่ได้สร้าง

ความประทับใจ

ให้ผู้คนมาแล้วมากมาย  


เมื่อแม่ส่งลูกชายไปเรียนต่างเมือง แล้วได้ทราบข่าวว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทางรถยนต์...)


จากหมู่บ้านเกาหมิง

ในมณฑลหูหนาน  

เดินทางมายังเมืองต้าเหลียน

ของ มณฑลเหลียวหนิง  

ระยะทางไม่ต่ำกว่า 

3,000 ก.ม.  


หลัวอิงใช้เวลาเดินทาง

สองวันหนึ่งคืนเต็มๆ  


ตอนแรก  คู่กรณีทางฝั่ง

ต้าเหลียนกำชับให้นั่งเครื่องบินไป  แต่พอหล่อนเห็นราคาตั๋วเครื่องบินแล้ว  

คิดว่าช่วยคู่กรณีประหยัดเงินไว้หน่อยน่าจะดีกว่า  


ชั่วชีวิตเขาอย่างเก่งก็แค่เดินทางเข้าไปซื้อของ

จากตลาดนัดในตัวเมือง  


เดินทางไกลขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอจริงๆ


ต่อรถมาแล้วสองทอด และนี่คือขบวนรถไฟตรงสู่จุดหมายปลายทางต้าเหลียนเสียที  


พอได้ที่นั่งเรียบร้อย 

เหงื่อยังไม่ทันแห้ง  

แต่น้ำตาก็เริ่มซึมแล้ว  


หากไม่เดินทางออกจากบ้านมาก็คงไม่มีวันรู้ว่า  โลกนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกิน  


หล่อนคิดแค่ว่า  การที่ลูกชายตนดั้นด้นเดินทางจากหมู่บ้านเล็กๆที่ไกลโพ้นขนาดนั้นเพื่อไปศึกษาต่อ  มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด


สองปีก่อน  เพื่อนบ้านมาส่ง 

เซียงเอ๋อลูกชายของตนถึง

หน้าหมู่บ้านพร้อมรอยยิ้ม  

ต่างกำชับว่า  


"ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆ  เรียนจบแล้วมารับแม่แกไปเสพสุขในเมือง  แม่แกเลี้ยงดูแกตั้งแต่เล็กจนโตโดยลำพัง  ถึงเวลาต้องรู้จัก

ทดแทนบุญคุณแม่นะ"


สองปีผ่านไป.....  

เพื่อนบ้านต่างมาส่งตนหน้าหมู่บ้านพร้อมคราบน้ำตา  กำชับหล่อนว่า  ........


"เอาเรื่องไอ้คนขับรถให้ถึงที่สุด  เขาคือคนที่พังทลายอนาคตครอบครัวแกจนหมดสิ้น"


มีญาติๆอาสาจะเดินทางไปเป็นเพื่อนเพื่อเจรจาต่อรอง  


หลังตรึกตรองแล้ว  หล่อนเกรงว่าพอมีคนเยอะ  จะเข้าตำรา


”มากหมอมากความ”  

มีแต่จะทำให้เธอ

ตัดสินใจลำบากขึ้น  


เธอจึงตัดใจเดินทางไปคนเดียว


          ***********


พอขบวนรถไฟมาถึง

สถานีต้าเหลียน  

คณะครูบาอาจารย์  

เพื่อนๆของลูกชายตน  

ยังมีเจ้าหน้าที่ของ


บริษัทรถโดยสารสาธารณะ  รวมทั้งคนขับรถคู่กรณี

ชื่อเสี่ยวซูก็มาต้อนรับเธออย่างพร้อมหน้าพร้อมตา  


หลังจากบริษัทจัดการให้หล่อนเข้าพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว  


หล่อนขอไปเยี่ยมบ้านของคนขับรถคนนั้นทันที  ขอร้องให้ทุกคนกลับไปก่อน


บริษัทต้นสังกัดกำชับคนขับที่ชื่อเสี่ยวซูว่า  ไม่ว่าหล่อนจะโวยวายขนาดไหน  ก็ต้องทนรับสภาพให้ได้  


หล่อนสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนไปแล้ว  จะอาละวาดขนาดไหนก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้


หลังมาถึงบ้านพักของเสี่ยวซู  แท้จริงมันก็เป็นแค่ห้องพักห้องขนาดค่อนข้างเล็กไม่เกินห้าสิบตารางเมตร  อยู่กันห้าคน  พ่อ แม่  ของเสียวซูที่เริ่มใกล้เข้าสู่วัยชราแล้ว พร้อมภรรยาและลูกที่ยังเรียนชั้นประถมอยู่  ทุกคนในบ้านต่างเกร็งกันจนพูดอะไรไม่ออก  หล่อนพูดขึ้นอย่างราบเรียบก่อนว่า  "คนในเมืองอย่างพวกคุณช่างมีที่อยู่อาศัยกันแบบคับแคบเหลือเกิน"


ภรรยาของเสี่ยวซูน้ำตาซึมทันที  เธอพูดว่า  "หลังจากแต่งงานแล้วก็อยู่ด้วยกันมาตลอด  พวกเราล้วนทำมาหากินแบบคนธรรมดาๆ  ไม่มีปัญญาจะไปหาบ้านช่องใหญ่โตมาอยู่กัน  ราคาห้องนี้หมื่นกว่าหยวนต่อตารางเมตร  ห้องเพียงแค่นี้ก็ผ่อนกันไปทั้งชาติแล้ว......"

หลัวอิงตกใจ  "อะไรนะ  ตารางเมตรนึงกว่าหมื่นหยวน  ห้องใหญ่เท่ารูหนูแค่นี้ละนะ"


ภรรยาของเสี่ยวซูพูดต่อว่า  "เสี่ยวซูมีเงินเดือนไม่ถึงสองพันหยวน  เดือนหนึ่งมีวันหยุดไม่เกินสามวัน  ทำเช้าทำเย็น  เบี้ยเลี้ยงอาจได้เพิ่มบ้างก็มาจากระยะทางของรถที่วิ่ง  วิ่งน้อยก็ได้น้อย  นับจากวันที่ทำงานที่นี่  ไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มสักครั้ง  จนกลายเป็นคนเส้นประสาทอ่อนล้าไปแล้ว  พี่เขาไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมกินข้าวฉลองเทศการใดๆกับคนในครอบครัวเลย  แล้วคราวนี้ก็ยังไปก่อเรื่องใหญ่ขึ้น......."  พูดไปก็ร้องไห้ไป


หลัวอิงเห็นสภาพแล้วก็ได้แต่เห็นใจ  เพื่อที่จะไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป  หล่อนเปรยขึ้นว่า  "ฉันขอกินข้าวด้วยกันสักมื้อในบ้านนะ"


เธอรีบเช็ดน้ำตา  กำชับให้สามีรีบออกไปจ่ายตลาด  แต่หลัวอิงห้ามไว้  "ในบ้านมีอะไรก็กินแบบนั้นแหละ  ไม่ต้องลำบาก"


นั่นเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายมากๆ สมาชิกในครอบครัวก็แลดูเรียบง่ายเหมือนกับข้าวกับปลาบนโต๊ะ  ล้วนแลดูซื่อๆตรงๆ  เกรงอกเกรงใจ และไม่ใช่พวกช่างเจรจา  


หลังทานข้าวเสร็จ  หลัวอิงขอตัวไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่ลูกเคยเรียน  ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าบ้านจนออกจากบ้านไปแล้ว  หลัวอิงไม่ได้เอ่ยปากพูดถึงการตายของลูกชายตนเลยสักคำ


         ***********


เพื่อนๆของเซียงเอ๋อพาหลัวอิงเดินชมห้องเรียนที่ลูกหล่อนเคยนั่งเรียนหนังสือ  หอพักที่เคยพัก  สนามบาสเกตบอลที่เล่นประจำ  ทางโรงเรียนได้เตรียมทนายความคณะใหญ่ให้เรียบร้อยแล้ว  เป้าหมายมีอยู่สองข้อ  คือลงโทษคนขับรถให้หนัก  และเรียกร้องค่าเสียหายให้มากที่สุด


หลัวอิงยังไม่ต้องการพบคณะทนายความ  แต่ขอคุยกับคุณครูผู้ปกครองของลูกชายก่อน  "ต้องขอโทษที่เซียงเอ๋อก่อปัญหาทิ้งไว้ให้วุ่นวาย  ดิฉันขอรบกวนคุณครูต่ออีกหน่อย  ช่วยจัดการเผาศพเซียงเอ๋อให้เรียบร้อย  แล้ววานให้เพื่อนที่สนิทของเซียงเอ๋อ  พาดิฉันและเซียงเอ๋อเที่ยวชมเมืองต้าเหลียนสักรอบ  เอาที่ๆเซียงเอ๋อไม่เคยไปมาก่อน  ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น  เดี๋ยวดิฉันจะจัดการเอง  ไม่ขอรบกวนโรงเรียนให้มากกว่านี้  และก็ไม่อยากให้นักเรียนทั้งหลายต้องมาเสียการเรียนเพราะเรื่องของลูกชายดิฉัน"


ก่อนที่คุณครูผู้ปกครองจะทันพูดอะไรออกมา  หล่อนพูดต่อว่า  "เมื่อคืนลูกชายมาเข้าฝัน  กำชับให้ทำอย่างที่ดิฉันได้บอกไปแล้ว  ช่วยกรุณาจัดการตามที่ดิฉันขอร้องให้ด้วย"


หลัวอิงอุ้มกล่องอัฐิของลูกชายไว้ที่อก  เหมือนอุ้มลูกน้อยเมื่อตอนยังเล็ก  ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ  เพื่อเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวของเมืองต้าเหลียนที่ลูกชายยังไม่เคยไป


ตลอดทั้งวัน  เพื่อนของเซียงเอ๋อน้ำตาร่วงแล้วร่วงอีก  แต่ไม่เห็นน้ำตาสักหยดจากคนเป็นแม่  เพื่อนของลูกบอกว่า  "คุณน้าครับ  ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะครับ"


แต่หลัวอิงบอกว่า  "พ่อเซียงเอ๋อตายตั้งแต่ตอนลูกอายุแค่สี่ขวบ  ตั้งแต่นั้นมา  น้าก็ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าลูกแม้แต่ครั้งเดียว  เพราะเกรงว่าลูกจะหนักใจถ้าเห็นน้ำตาแม่......"


         ***********


วันถัดมา  ทางโรงเรียนตามหาหลัวอิงไม่พบ  ปรากฏว่าหล่อนได้นัดแนะและตรงไปยังบริษัทโดยลำพัง  บริษัทได้เตรียมเงินก้อนหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว  เป็นจำนวนเงินตามที่กฏหมายกำหนดไว้  รวมกับเงินที่คนขับรถพร้อมจะรับผิดชอบ  แค่คิดว่าหากหล่อนรับได้ก็จบเรื่องกันเพียงเท่านี้  แต่ก็พร้อมพิจารณาหากคู่กรณีมีข้อเรียกร้องมากกว่านี้ที่พอรับได้  ไม่เช่นนั้นก็ต้องไปตกลงกันที่ศาล


เพื่อกันไม่ให้บรรยากาศเกิดความอ่อนไหวเกินไป  ผู้ใหญ่ของบริษัทกำชับไม่ให้คนขับรถมาปรากฏตัวในระหว่างการเจรจา  พวกเขามีทนายความพร้อมเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ของความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น 


หลังจากหลัวอิงก้าวลงจากรถและเดินเข้าห้องเจรจา  ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ  พวกเขารู้ว่า  นี่เป็นความสงบนิ่งก่อนพายุฝนจะโหมกระหน่ำ  แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอุ่นใจคือ  หล่อนมาเพียงลำพังอย่างพลิกความคาดหมาย  พวกเขามีคนเยอะกว่า  ถ้าช่วยกันพูดกันคนละประโยคสองประโยค  ก็สามารถประวิงเวลาให้ทอดยาวออกไปได้แล้ว  เรื่องเจรจาต่อรอง  การซื้อเวลา  หรือการถ่วงเวลาไปเรื่อยๆเป็นเทคนิคที่สำคัญ  พอเวลาทอดยาวออกไป  เดี๋ยวก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบา  โดยเฉพาะเรื่องเลวร้ายใหญ่โตขนาดนี้  คงต้องใช้เวลามากมายในการต่อรอง


หลัวอิงใช้เวลาอยู่กับคณะเจรจาไม่ถึงสิบนาที  หล่อนสรุปอย่างเรียบง่ายที่สุด  "ดิฉันมีเรื่องขอร้องอยู่สองเรื่อง  เรื่องแรก  ขอร้องอย่าลงโทษคนขับรถที่ชื่อเสี่ยวซูในกรณีนี้  เรื่องที่สอง  คนขับคนนี้มีปัญหาเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนที่อาจไม่เพียงพอ  บริษัทควรพิจารณากรณีใช้งานพนักงานหนักเกินไปหรือเปล่า  และนี่เป็นสูตรยาพื้นบ้านที่หมู่บ้านเรามีไว้รักษาอาการของคนที่หลับไม่ดี   ช่วยมอบสิ่งนี้ให้เสี่ยวซู  ทำตามที่บอก  แค่เดือนเดียวก็น่าจะเห็นผล"


คณะเจรจายังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่  หล่อนหยุดชะงักไปนิด  ก่อนจะพูดต่อว่า  "ต้องขอโทษที่ลูกดิฉันได้ก่อปัญหาให้ปวดหัววุ่นวาย  ดิฉันอยากให้เรื่องจบเพียงเท่านี้"


หล่อนลุกเดินออกจากห้องเจรจา  พอทุกคนที่เหลือตั้งสติได้  หัวหน้าคณะเจรจารีบวิ่งไปมอบเงินที่เตรียมไว้ให้หล่อน  แต่หล่อนปฏิเสธไม่ยอมรับ  "ดิฉันคงไม่ขอรับเงินจำนวนนี้  คุณช่วยเอาเงินส่วนของคนขับคืนเขาไป  ส่วนที่เหลือไปแบ่งให้คนขับรถในบริษัททุกคน  เมืองนี้รถราเยอะมาก  การจราจรหนาแน่น  คนเดินถนนก็ไม่ปลอดภัย  และคนขับรถทั้งหลายก็ขับรถด้วยความยากลำบาก  ดิฉันเข้าใจและเห็นใจ"


        ***********


หลังจากหลัวอิงกลับบ้านไปแล้ว  พร้อมกับสัมภาระที่เพิ่มขึ้นอีกชิ้น  นั่นคืออัฐิของลูกชาย  หล่อนอุ้มกล่องอัฐิไว้ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอมตลอดทาง


เจ้าหน้าที่ทุกคนของบริษัทล้วนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  หลังจากนั้นไม่นาน  บริษัทได้จัดงบประมาณพิเศษไว้จำนวนหนึ่ง  ใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่สองคัน  บรรทุกข้าวสาร  เส้นบะหมี่  น้ำมันพืช  และเสบียงอาหารแห้ง  ตรงสู่หมู่บ้านเกาหมิง  ก่อนออกเดินทาง  พวกเขาทำใจไว้แล้วว่า  นั่นเป็นหมู่บ้านที่อยู่ไกลมาก  แต่พอเดินทางมาถึง  พวกเขาต้องตกตะลึงกับความยากจนของหมู่บ้าน  บ้านทุกหลัง  โรงเรียนของหมู่บ้าน  ล้วนเก่าและทรุดโทรมมาก  เด็กๆไม่เคยได้ลิ้มรสหรือรู้จักอาหารดีๆเลย  บ้านของหลัวอิงเป็นบ้านที่ค้ำด้วยเสาเพียงไม่กี่ต้น  ถ้าเจอลมแรงๆก็อาจมีสิทธิ์ล้มได้


หลัวอิงพาเจ้าหน้าที่จากบริษัท  นำเอาเสบียงอาหารไปฝากทุกบ้าน  หล่อนบอกเพื่อนบ้านว่า  "เห็นไหม  ฉันไม่ได้พูดเกินจริง  พวกเขาล้วนเป็นคนที่จิตใจดีงามทั้งนั้น"


ได้เวลาเดินทางกลับ  คณะที่มาเยือนประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่สิบห้าคน  เก็บเงินไว้กับตัวคนละเล็กละน้อยแค่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในการเดินทางกลับบ้าน  แล้วก็รวบรวมเอาเงินที่เหลือทั้งหมดแอบทิ้งไว้ที่บ้านหลัวอิง  นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะทำได้ในขณะนั้น


        **********


วันเวลาผ่านไป  นับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุก็เป็นเวลาห้าปีแล้ว  แต่ก็มีผู้คนจากเมืองต้าเหลียนมาเยี่ยมหมู่บ้านเกาหมิงบ่อยๆ  ไม่เพียงแค่เจ้าหน้าที่จากบริษัทคู่กรณี  ยังมีผู้คนอีกมากมายรวมทั้งพวกนักศึกษาที่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้แล้วเกิดความศรัทธา  พวกเขาไม่ได้มาแค่เยี่ยมคุณน้าหลัวอิงที่บัดนี้แก่ชราภาพลงไปทุกปี  แต่พวกเขาทำตัวเป็นพวกจิตอาสามาช่วยหมู่บ้านเกาหมิงสร้างถนนหนทาง  ซ่อมแซมบ้านให้ชาวบ้าน  ช่วยพัฒนาวิชาชีพให้ชาวบ้าน  และยังบริจาคเงินสร้างตึกหลังใหม่ให้โรงเรียน........


เซียงเอ๋อเป็นลูกที่แม่หลัวอิงภูมิใจเป็นนักหนาในชั่วชีวิตหล่อน

แต่การตัดสินใจให้อโหสิกรรมของแม่ที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้

ทำให้เรื่องที่เศร้าที่สุดกลับมีทางออกที่น่ายกย่องที่สุด

และอานิสงส์ของมันได้แผ่กระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน


"ขจรศักดิ์"

*******

Cr.fwd line

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น