หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564

วิชาฆ่ากิเลส

 #วิชาฆ่ากิเลส


วิชาฆ่ากิเลสเป็นวิชาประเภทหนึ่งที่เป็นเรื่องของธรรม สร้างขึ้นมาจากความมีอยู่ของธรรมเป็นแขนงๆ ออกมา เช่นเดียวกับต้นไม้ ก่อนที่จะเป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบย่อมออกจากลำต้น ต้นย่อมออกจากรากเหง้าของมัน แตกกิ่งก้านสาขาดอกใบออกมา เรื่องของธรรม ธรรมในหลักธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่กาลไหนๆ มา นั่นเรียกว่าพื้นฐานของธรรม วิชาธรรมก็ผลิตออกมาจากนั้นเป็นแขนงต่างๆ แล้วก็ออกมาพูดได้หลายชนิดให้ไพเราะเพราะพริ้งก็ได้ ให้เป็นไปตามความจริงก็ได้ ที่เรียกว่าชำระกิเลสบ้าง ประกอบความพากเพียรบ้าง ถ้าพูดตามหลักความจริงก็ว่าสังหารกิเลส หรือฆ่ากิเลส นี่ถึงใจของผู้ปฏิบัติทั้งหลายไม่ว่าท่านผู้ใด จะถึงใจในความรู้สึกก่อนแล้วก็ถึงใจในการระบายออกมาหรือแสดงออกมา


วิชาของธรรมนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากกิเลสประเภทใดผลิตขึ้นมา ให้เป็นเครื่องมือกลับเข้าไปสังหารกิเลส แต่เป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง วิธีการขุดค้นวิชาธรรมให้เกิดขึ้นภายในใจ พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญหรือได้ดำเนินมาก่อนแล้ว แต่พระพุทธเจ้านั้นเป็นสยัมภู ทรงพยายามขวนขวายเอง รู้ขึ้นมาเองโดยลำดับลำดา จนกระจ่างแจ้งในธรรมทั้งหลาย ทั้งพื้นฐานแห่งธรรมและธรรมที่เป็นสมบัติของพระองค์โดยเฉพาะบรรจุในพระทัยเต็มส่วน ควรแก่ความเป็นศาสดาของโลกได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว จึงได้นำธรรมในพระทัยนั้นออกมาสอนโลก ธรรมเหล่านี้จึงเป็นประเภทหนึ่งจากโลกทั้งหลาย ท่านจึงให้ชื่อว่าโลกว่าธรรม ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


การศึกษาเล่าเรียนในแง่ต่างๆ ของธรรมที่ท่านเรียกว่าปริยัตินั้น เราศึกษาเพื่อการจดจำแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสออกจากใจ เราจำต้องได้ศึกษาเล่าเรียนก่อนไม่มากก็น้อย ดังอุปัชฌาย์ท่านสอนกรรมฐาน ๕ ก็คือวิชา ๕ ประเภทนั้นเองขึ้นมา ให้พวกเราทั้งหลายได้ศึกษาเป็นเบื้องต้น ดังท่านสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เรียกว่าอนุโลม ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา เรียกว่าปฏิโลม คือย้อนหน้าถอยหลังหลายตลบทบทวน เพื่อความชำนิชำนาญ เพื่อความเข้าใจตามธรรมชาติมีอยู่ของอาการทั้ง ๕ นี้ซึ่งมีอยู่ทั้งตัวเราตัวเขา แล้วก็นำอาการทั้ง ๕ หรือวิชาทั้ง ๕ แขนงนี้ไปฝึกหัด เช่น การพิจารณาผม พิจารณาขน เล็บ ฟัน แล้วกระจายไปถึงหนัง เนื้อ เอ็น กระดูกตลอดสรรพางค์ร่างกาย ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาธรรมที่แตกแขนงออกไป จากการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย และธรรมก็เกิดขึ้นจากวิชาอันนี้แหละ


วิชานี้ได้มาจากอุปัชฌาย์อาจารย์หรือครูอาจารย์เสียก่อน เป็นภาคจดจำ แล้วก็มาคลี่คลายขยายออกดูตามความจริงของมัน จนปรากฏความรู้แจ้งขึ้นมาภายในตัวของเรา กลายเป็นสมบัติของเราขึ้นมา นี่ท่านเรียกว่า รู้ตามความจริง เอาความจำมาปฏิบัติเพื่อความจริงทั้งหลาย วิชาธรรมจึงเป็นวิชาประเภทหนึ่ง ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกทั้งหลาย คำว่าโลกทั้งหลายนั้น ได้แก่สิ่งที่ท่านเรียกว่าอธรรม คือสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ธรรมนั้นแล เมื่อธรรมผลิตขึ้นมาก็เพื่อจะแก้จะถอดถอนสิ่งเหล่านี้ หรือสังหารสิ่งเหล่านี้ออกจากใจของตนที่เต็มไปด้วยอธรรม


ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญธรรม จึงเป็นเรื่องพิเศษๆ อยู่โดยหลักธรรมชาติของตน แม้จะเรียนมาจากปริยัติหรือศึกษามาจากปริยัติแล้วก็ตาม กิ่งแขนงที่จะแตกออกไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่วงแคบถึงวงกว้าง นับแต่หยาบถึงขั้นละเอียดนั้น จะเป็นขึ้นจากการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้การปฏิบัติจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะถอดถอนตนให้หลุดพ้นออกจากทุกข์ ด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุในสิ่งทั้งหลายที่เคยพัวพันจิตใจ ให้กลายเป็นคนละเรื่องละราว กลายเป็นคนละสัดละส่วนออกไปจากใจ ไม่คละเคล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนดังที่เคยเป็นมา นี่ละการปฏิบัติธรรมจึงเป็นกรณีพิเศษจากโลกทั้งหลายอยู่ไม่น้อย


คำทั้งนี้ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ซึ่งเข้าใจแล้วรู้แล้วถึงจะนำมาพูดได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เราจะด้นจะเดาเอามาพูดได้ ถ้าธรรมภาคความจริงแล้วด้นเดาไม่ได้ ต้องรู้จริงอย่างนั้นถึงจะพูดออกมาได้ตามความจริงที่ตนรู้ตนเห็นนั้น นี่จึงเป็นกรณีพิเศษ ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียรก็ต่างจากโลกเขาเพียรในการงานของเขาอยู่มาก งานใดก็ตามงานทางโลกกับงานทางธรรมนี้ มีความแตกต่างกันอยู่มากทีเดียว การปฏิบัติในตัวของเราจะให้เป็นแบบโลกเป็นเหมือนโลกนั้น จึงเป็นไปได้ยากสำหรับผู้ที่จะตะเกียกตะกาย เพื่อความพ้นทุกข์ให้ได้อย่างใจหวัง


ศรัทธาความเชื่อ เชื่อธรรมดาในธรรมทั้งหลายนี้เป็นประเภทหนึ่ง เชื่อจากความฝังใจที่ได้รู้ได้เห็น เป็นสักขีพยานขึ้นมาเป็นลำดับลำดานี้ประการหนึ่ง ความเพียรธรรมดาที่ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานไปตามความจดความจำ ความเข้าอกเข้าใจในตำรับตำรา หรือเชื่อตามครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนนั้นเป็นประเภทหนึ่ง เชื่อในสิ่งที่ตนรู้ตนเห็นนี้เป็นอีกประเภทหนึ่ง เพียรไปโดยลำดับลำดา เพราะความรู้ความเห็นนั้น ซึ่งเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดความเพียรให้หนักแน่นเข้าไปโดยลำดับหนึ่ง จึงต่างกันๆ ไปโดยลำดับลำดา


สิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะพึงขวนขวายในตัวเอง และรู้ขึ้นมาภายในตัวเองโดยไม่ต้องไปถามผู้หนึ่งผู้ใดเลย ท่านเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก นี่เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติโดยแท้ สมบัติอันนี้แลเป็นเครื่องรักษาผู้ปฏิบัติได้โดยลำดับ ตามสมบัติที่มีมากน้อย ท่านเรียกว่า ธรรมสมบัติ เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ เราผู้ปฏิบัติทั้งหลายก็มุ่งจุดนี้เป็นสำคัญ เหมือนครั้งพุทธกาลท่านที่ได้เป็นสรณะของพวกเรา ล้วนแล้วแต่ท่านปฏิบัติเพื่อความเป็นสรณะของตน และได้เป็นจริงๆ แล้วก็กลายเป็นสรณะของโลกขึ้นมา


ธรรมจึงเป็นพิเศษอันหนึ่งจากโลกทั้งหลาย และสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมก็เป็นข้าศึกกัน ส่วนมากอธรรมต้องเป็นเจ้าของจิตใจของสัตว์โลก แม้ธรรมมีก็เป็นแต่เพียงว่าเคลือบแฝงเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองจริงๆ ที่มีกำลังมากเหมือนกับอธรรมที่มันไปสร้างตัวเอง จนเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นภายในจิตใจของสัตว์โลก แล้วกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับมัน


เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงได้ถือว่า หรือจึงได้พูดกันว่าอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น คือมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส ใจของเรานี้น่ะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส ประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากถ้าว่าเป็นกิเลสก็เป็นกิเลสทั้งหมด ว่าเป็นเราก็เป็นทั้งหมด ไม่มีทางที่จะแยกแยะกันออกได้ ให้เป็นคนละสัดละส่วน นี่เพราะความกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน เนื่องจากความสร้างเนื้อสร้างหนังของตนเองขึ้นภายในจิตใจของสัตว์โลกแต่ละดวงๆ นี่ท่านให้นามว่ากิเลส ซึ่งเป็นเหมือนกับกาฝากแทรกอยู่กับต้นไม้ แล้วดูดซึมต้นไม้มาเป็นอาหารเลี้ยงลำต้นของตน และต้นไม้นั้นก็อับเฉา จนกระทั่งถึงตายไปได้เมื่อกาฝากมีจำนวนมาก


จิตใจของเราก็เสียคนได้เมื่อสิ่งเหล่านี้มีกำลังมาก แทรกซึมอยู่ภายในจิตใจ สร้างเนื้อสร้างหนังสร้างความเป็นอยู่สืบทอดกันไปโดยลำดับลำดา ไม่มีวันหยุดหย่อนผ่อนคลายเลย ก็คือกิเลสสร้างตัวเองภายในจิตใจของสัตว์โลกนี้แล นี่ละที่เรียกว่ามันเป็นเราไปเสียหมด ประหนึ่งว่ากาฝากกับต้นไม้นั้นเป็นอันเดียวกัน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่อันเดียวกัน กาฝากเกิดขึ้นใบของมันก็ไม่เหมือนต้นไม้ต้นนั้น กิ่งก้านสาขาของมันอะไรๆ ของมัน อวัยวะของมันทุกส่วนเป็นเรื่องของมันทั้งนั้น แต่มันดูดซึมเอาต้นไม้นั้นเป็นอาหารของมันไปตลอด ยังชีพของมันอยู่ได้ด้วยอาหารจากต้นไม้


นี่ก็เหมือนกัน กิเลสสร้างตัวของมัน ยังชีพคือความเป็นอยู่ของตัวเองให้สืบทอดไปโดยลำดับลำดา จนเป็นกัปเป็นกัลป์เป็นกี่ล้านกัปล้านกัลป์ ก็ไม่มีใครที่จะนับอ่านได้จากความยืดยาวของกิเลส ที่มีความเหนียวแน่น และสร้างตัวเองอยู่ภายในจิตใจ จึงไม่มีใครจะทราบได้ว่ากิเลสเป็นเช่นไร จิตเป็นเช่นไร มันกลายเป็นอันเดียวกันหมด


ใครล่ะจะทราบได้ ก็มีพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอก ทรงบำเพ็ญพระองค์ทรงแก้ทรงไขทรงถอดทรงถอนสิ่งที่เป็นกาฝากทั้งหลายออกไปได้ ด้วยการสร้างความดีทั้งหลาย นับตั้งแต่ปรารถนาเป็นพระโพธิญาณหรือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรงตัวด้วยความเป็นพระโพธิสัตว์เรื่อยมา ความพากความเพียรไม่ลดถอยน้อยลงเลย นี่คือการบำเพ็ญเพื่อสั่งสมกำลังทางความดีทั้งหลาย ที่จะถอดถอนสิ่งเหล่านี้ออกจากพระทัย จนได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยสยัมภู โดยความรู้เองเห็นเอง นี่เบื้องต้นมีพระพุทธเจ้าเท่านั้น แยกกาฝากกับต้นไม้ออกได้ ด้วยความรู้ชัดเจนว่า นี้คือกาฝาก นี้คือต้นไม้ เป็นข้าศึกต่อกันไม่น้อย ร้อยทั้งร้อยก็คือกาฝากนั้นแลเป็นข้าศึกต่อต้นไม้ จนได้ชำระออกหมด สังหารออกโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ กลายเป็นพระทัยหรือพระจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ นั้นแหละที่นี่จึงได้เป็นศาสดาสอนโลกด้วยความอาจหาญชาญชัยโดยไม่มีใครเป็นคู่แข่งเลย


พวกเราทั้งหลายก็ได้รับฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้า และบรรดาสาวกทั้งหลายที่เป็นอันดับสองจากพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็ได้ยินได้ฟังจากพระองค์แล้ว ด้วยคำว่า สาวโกๆ แปลว่าผู้สดับผู้ฟังก่อน และได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ยินได้ฟังมานั้น จึงค่อยรู้เรื่องรู้ราวค่อยชำระสะสางกาฝากภายในจิตใจออกได้โดยลำดับ ทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ที่มีเต็มอยู่ภายในจิตใจ แก้ไขถอดถอนออกได้โดยสิ้นเชิง เพราะความสามารถฉลาดรู้ทันกับกลมายาของกิเลส ซึ่งเป็นเหมือนกาฝากนั้นแล้วก็เป็นที่พึ่งของตนได้โดยสมบูรณ์


เมื่อเป็นสรณะของตนได้โดยสมบูรณ์เหมือนพระพุทธเจ้าแล้ว ก็กลายเป็นสรณะของโลก เป็นที่พึ่งที่เกาะที่ยึดของโลก เป็นแนวทางให้โลกได้เป็นคติเครื่องพร่ำสอนโลกให้ยึดเหนี่ยวเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้


นี่เราพูดถึงหลักธรรมชาติของจิตจริงๆ นั่นละ เมื่อมันคละเคล้ากับกาฝากคือกิเลสแล้ว เราจึงไม่มีทางทราบได้เพราะละเอียดพอๆ กันกับจิต เนื่องจากเป็นนามธรรมเหมือนกัน จะทำอะไรจึงเป็นการกระทบกระเทือนกิเลสเสียหมด ความทุกข์ความลำบากก็กลัวตัวทุกข์ตัวลำบาก จะประกอบความพากเพียรหรือตะเกียกตะกายด้วยวิธีการใดๆ ก็กลัวแต่ความลำบากๆ นั่นละ


ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้วก็คือกลัวกิเลสลำบาก กลัวกิเลสเป็นทุกข์ เพราะการประกอบความเพียรเพื่อชำระกิเลสนี้เป็นการกระทบกระเทือน เป็นการตบการตีกิเลส การฟัดการฟันกิเลสโดยลำดับลำดา และในขณะเดียวกันเพราะความสำคัญของเราที่ถูกกิเลสกลืนอย่างจมมิด ก็กลัวว่าเราเป็นทุกข์นั่นเอง นั่นกิเลสมาเป็นเราเสียแล้ว เลยกลัวว่าเราเป็นทุกข์ เรากับทุกข์ก็แยกกันไม่ออก กิเลสกับเราก็แยกกันไม่ออก มันกลายเป็นอันเดียวกัน แน่ะ


ด้วยเหตุนี้วิชาธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะแยกจะแยะสิ่งเหล่านี้ วิชาอื่นใดในโลกไม่มีทางที่จะแยกจะแยะระหว่างกิเลสกับธรรม หรือระหว่างกาฝากกับต้นไม้ให้ออกเป็นคนละสัดละส่วนได้นอกจากธรรมเท่านั้น นี่ละวิชาธรรมเป็นอย่างนี้


เบื้องต้นก็ได้มาจากพระพุทธเจ้าเสียก่อน ได้ยินได้ฟังอุบายต่างๆ ในการบำเพ็ญ ในการแก้ไขถอดถอนก็นำมาปฏิบัติตนเอง ค่อยๆ เกิดผลขึ้นมาๆ ในเบื้องต้นความโลภเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ความโกรธเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ความหลงเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ราคะตัณหาเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ขึ้นชื่อว่าอาการของกิเลสทั้งมวลที่แสดงออกมา เราก็ถือว่าเป็นเราเสียสิ้น นี่เพราะความรู้ความฉลาดของเราไม่ทันมัน


แต่อาศัยการปฏิบัติบำเพ็ญตามหลักศาสนธรรมที่สอนไว้ ก็ค่อยเข้าใจไปโดยลำดับ จนกระทั่งจิตมีความสงบบ้างเป็นบางกาลบางเวลา เช่น จิตรวมสงบตัวหรือจิตเป็นสมาธิขึ้นโดยลำดับ ก็จะเริ่มเห็นภัยแห่งความฟุ้งซ่านของตนเอง ฟุ้งซ่านๆ เรื่องอะไร ก็ฟุ้งซ่านเพื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหานั้นแลไม่ใช่เพื่ออะไร ก็เมื่อจิตเคยสงบแล้ว ความฟุ้งซ่านเป็นสิ่งที่ผิดปกติกับความสงบ ย่อมจะทราบ และฟุ้งซ่านไปในแง่ใด ในแง่ความโกรธเหรอ ในแง่ความโลภเหรอ ในแง่ความกำหนัดยินดีเหรอ พอใจหรือไม่พอใจเหรอ ย่อมทราบไปโดยลำดับลำดา เพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการที่แฝงขึ้นมาๆ ผิดปกติของจิตที่สงบมีความสุขในขณะที่สงบตัว นั่นจึงเป็นเหตุให้ตื่นตัวตื่นใจ ให้ได้ทราบว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่ง หรือว่าสิ่งนี้เป็นภัย สิ่งนี้เป็นหนึ่งนอกจากตัวของเรา นอกจากจิตของเราไป จิตของเราสงบอันนี้ไม่พาให้สงบ อันนี้พาให้ฟุ้งซ่านรำคาญ จึงต้องได้ถืออันนี้เหมือนกับเป็นข้าศึกอันหนึ่ง


ระหว่างเรากับข้าศึกคือกิเลสนั้นก็ต่อสู้กัน ครั้นต่อสู้กันไปเรื่อยๆ ก็เห็นเหตุเห็นผลไปเรื่อยๆ และแก้ไขถอดถอนออกไปเข้าสู่ความละเอียด ธรรมก็ละเอียดขึ้นกิเลสก็ละเอียดไปตามๆ กัน พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป นี่วิธีการปฏิบัติเป็นอย่างนั้น

ทีนี้เมื่อจิตของเรามีทั้งความสงบ มีทั้งความแยบคาย อุบายต่างๆ ทันกับการแสดงออกของกิเลสประเภทต่างๆ แล้ว มันก็พอเป็นพอไปพอฟัดพอเหวี่ยง สุดท้ายก็เห็นชัดเจน กิเลสแสดงอาการใดของตัวเองขึ้นมา เช่นแสดงอาการโลภ ไม่ต้องพูดที่อื่น โลภอยากได้อาหารเพียงเท่านั้นมันก็กระเทือนใจแล้ว หือ วันนี้จิตมันโลภอะไรอย่างนี้ นั่นแต่ก่อนไม่เห็นว่าเป็นข้าศึก มันเริ่มทราบ หรือโกรธใครก็ตาม อ้อ วันนี้จิตแสดงอาการไม่ดี โกรธคนนั้นโกรธคนนี้ๆๆ ไม่พอใจเขา นี่เป็นเรื่องของกิเลสที่เกิดขึ้นจากเราไปโกรธเขา เขาจะผิดเท่าฟ้าเท่าแผ่นดินก็ตาม ความไม่พอใจในเขาก็คือกิเลสของเราเอง นี่มันก็ย้อนเข้ามาเห็นโทษของตัวเอง มากกว่าที่จะเห็นโทษของผู้อื่นที่ว่าผิดไป แล้วก็พยายามเข้ามาแก้ตรงนี้ นั่น มันเริ่มเห็นเข้าไปอย่างนั้น

หรือราคะตัณหาเกิดขึ้น เพราะเห็นรูปได้ยินเสียงธรรมชาติที่เป็นวิสภาคกัน แต่ก่อนไม่รู้ กลมกลืนกันไปเลย พันกันไปเลย เมื่อปฏิบัติเข้าถึงจิตขั้นละเอียด พอแสดงอาการขึ้นมาอย่างนี้ นี่จิตเราแสดงราคะคือความกำหนัดในสิ่งนั้นแล้ว ไม่ถือว่าสิ่งนั้นเป็นความผิด ถือผู้เป็นราคะที่แสดงตัวให้กระเทือนจิตใจนี้เป็นความผิด แล้วย้อนจิตเข้ามาแก้ที่ตรงนี้ นั่น เริ่มรู้ๆ เข้าไปอย่างนั้น จึงเรียกว่าผู้ปฏิบัติ รู้ด้วยสติที่เราฝึกอยู่ แล้วพินิจพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญา ก็ทราบไปโดยลำดับลำดา เมื่อทราบกันหลายครั้งหลายหนก็แก้กันไปได้เรื่อยๆ ตั้งแต่ส่วนหยาบ ส่วนกลาง จนถึงขั้นละเอียด

แล้วก็กระจายกันออกไปถึงขันธ์ ๕ ของตัวเอง ว่าเป็นตัวพิษตัวภัย ตัวเป็นทางแสดงออกหรือเป็นเครื่องมือแสดงออกของกิเลสทั้งหลาย กิเลสอาศัยขันธ์นี้แลเป็นเครื่องมือ นั่น มันก็เริ่มทราบ ตัวกิเลสจริงๆ ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่กิเลส แต่เป็นเครื่องมือของกิเลสที่นำไปใช้ เราก็นำขันธ์นั้นมาเป็นเครื่องมือของธรรมด้วยในขณะเดียวกัน เอ้า จิตมันคิดมันปรุงเรื่องอะไร มันคิดเรื่องกิเลส เราคิดเรื่องธรรมแก้กัน มันสำคัญมั่นหมายเป็นเรื่องของกิเลส เราก็ใช้สัญญาความจดความจำที่พอจะแก้กิเลสประเภทนั้นได้ด้วยความจำของเรา ด้วยสัญญาของเรา จนกระทั่งกลายเป็นปัญญาขึ้นมา วิญญาณความรับทราบ รับทราบเรื่องอะไร เอ้า รับทราบที่จะเป็นกิเลส เราก็แก้เป็นธรรมไปโดยลำดับลำดา

นี่ละเครื่องมืออันนี้ละ เราแยกแยะออกมาใช้ทางด้านธรรมะ เมื่อสติปัญญาของเราทัน หรือธรรมะของเรามีในใจ มีกำลังพอที่จะทันมันแล้ว ย่อมจะทราบกันได้เป็นลำดับลำดาไป ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเราไม่เคยทราบมาเลย ครั้นปฏิบัติไปโดยลำดับลำดา จิตก็ค่อยเลื่อนฐานะขึ้นไป เพราะได้รับการบำรุงรักษาอยู่เสมอ ย่อมเจริญเติบโตขึ้น ถ้าว่าเติบโต สติเคยขาดวรรคขาดตอนก็ไม่ค่อยขาดและไม่ขาด ปัญญาซึ่งนอนจมอยู่ภายในจิตใจเหมือนกับซุงทั้งท่อน ก็แสดงตัวขึ้นมา ไหวตัวขึ้นมา ปัญญาไหวตัวขึ้นมาจะไหวเพื่ออะไรถ้าไม่เพื่อทราบเหตุทราบผลต้นปลายในสิ่งต่างๆ แล้วกิเลสเป็นสิ่งใดล่ะ เป็นเหตุผลกลไกอะไร เป็นเรื่องอะไร เหตุใดปัญญาจะไม่จับปัญญาจะไม่คิด ปัญญาจะไม่พินิจพิจารณาล่ะ นั่น มันก็ต้องได้พิจารณา เมื่อพิจารณาเข้าไปแล้วมันก็ต้องรู้ รู้ไปโดยลำดับลำดา ตามขั้นของปัญญาเสียก่อน นี่เรียกว่าแก้กัน ชำระหรือถอดถอนทำลายกาฝากภายในจิตใจเรื่อยไปโดยลำดับลำดาอย่างนี้ละท่านเรียกว่าวิชาธรรม การปฏิบัติธรรมปฏิบัติอย่างนี้

ทีนี้เมื่อจิตได้เข้าอกเข้าใจวิธีการต่อสู้กับกิเลสแล้ว เรื่องความขี้เกียจขี้คร้านซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสหุ้มห่อจิตใจตัวของเราหมดทั้งร่าง จนกระทั่งจะเคลื่อนย้ายสู่ความเพียรไม่ได้ก็ค่อยจางหายไปๆ จนกลายเป็นความขยันหมั่นเพียร หนักก็เอาเบาก็สู้ไม่มีถอยขึ้นมาโดยลำดับลำดา จากนั้นก็กลายเป็นความเพียรกล้า เลยความขยันหมั่นเพียรไปเข้าสู่ความเพียรกล้า ดังท่านผู้ดำเนินในขั้นสติปัญญาอัตโนมัติท่านเหล่านี้เป็นผู้ก้าวเข้าสู่ความเพียรกล้า เลยความขยันหมั่นเพียรไปแล้ว

แต่ก่อนมีแต่กิเลสตัวขี้เกียจขี้คร้านตัวท้อแท้อ่อนแอ ตัวอำนาจวาสนาน้อยตัวไปไม่ไหวเต็มหัวใจและก้าวไม่ออก เมื่อธรรมมีกำลังแล้ว ธรรมก็ก้าวได้เหยียบหัวกิเลสไป ตัวขี้เกียจก็เหยียบไป ตัวท้อแท้อ่อนแอที่เคยเป็นมาแต่ก่อนก็เหยียบไปทำลายไปเรื่อยๆๆ สุดท้ายก็มีแต่จะเอาๆ ท่าเดียว ถ้าไม่หลุดพ้นเสียแล้วเป็นถอยไม่ได้ นั่นมันเป็นขึ้นเองเมื่อธรรมมีกำลังแล้ว

เราไม่คาดไม่หมายแหละ หากเป็นขึ้นโดยกำลังของธรรม กำลังของธรรมกับกำลังของจิตกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว หากเป็นขึ้นรู้ขึ้น สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็รู้ สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็เห็น สิ่งที่ไม่เคยว่าเราจะตัดขาดไปได้ ก็ตัดขาดไปได้ ด้วยอำนาจของธรรมเป็นเครื่องมืออันทันสมัย ทันกาลทันเวลา ทันกับกิเลสทุกแง่ทุกมุม ทุกประเภทของกิเลส นั่นเป็นอย่างนั้น นี่ที่ท่านหลุดพ้นไปได้ ท่านหลุดพ้นด้วยอย่างที่กล่าวมานี้แล

เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญการแก้ไขการถอดถอน จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพระผู้ปฏิบัติ และสถานที่ก็เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว เราดูซิในตำรับตำราครั้งพุทธกาลมักจะอยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา หาสถานที่ที่จะตั้งเนื้อตั้งตัว หาสถานที่ที่ไม่ประมาทนอนใจ เพราะคนเราเมื่อไปสู่สถานที่เปลี่ยวๆ ไปสถานที่น่ากลัวแล้วย่อมเป็นความเพียรขึ้นมาเอง ใครจะไปนอนจมอยู่ด้วยความขี้เกียจขี้คร้านเล่า เมื่อไปอยู่สถานที่เป็นภัย สถานที่จะต้องมีความฉิบหายวายปวงได้เมื่อประมาท แล้วใครจะไปยอมประมาทในสถานที่ควรจะตายเช่นนั้นด้วยความประมาท ต้องไม่ประมาท นั่น

ดังตะกี้นี้ก็ได้พูดให้ฟังถึงเรื่องการอยู่ในป่าในเขา ก่อนที่จะเทศน์นี้ มันต่างกันมากอย่างนั้นแหละ ทั้งวันความเพียรเป็นไปตลอดสายไม่ต้องบังคับ สติอยู่กับตัวแม้ปัญญาจะยังไม่ก้าวเดินก็ตามเพราะยังไม่ถึงขั้นจะก้าวเดิน สติดีระมัดระวังรักษาจิตอยู่ เมื่อกำหนดที่จะให้เข้าสู่ความสงบเมื่อใดก็ได้อย่างง่ายดายๆๆ นั่นละความเพียรอยู่กับตัวเป็นอย่างนั้น เพราะอาศัยสถานที่ที่น่ากลัวนั้นแหละ เป็นการกระตุ้นเตือนสติให้ตั้งตัวอยู่ตลอดเวลา เลยกลายเป็นความเพียรทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับเท่านั้น นอนก็มีสติ อะไรมาสัมผัสนิดหน่อยเท่านั้นตื่นแล้วๆๆ นี่ความเพียรของผู้อยู่ในสถานที่ไม่ประมาท ย่อมไม่ประมาท จึงเป็นความเพียรตลอดเวลา

อันใดก็ตาม ขอให้เราได้บำเพ็ญ ขอให้เราได้ดำเนินเถอะ เราจะรู้เอง ดังที่กล่าวมาในป่าในเขา สถานที่น่ากลัวน่าหวาดเสียว และเป็นสถานที่ตั้งแห่งความเพียรโดยลำดับลำดานี้ พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมาแล้ว พระสาวกท่านพากันดำเนินมาแล้วทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้การบำเพ็ญในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา จึงเป็นสถานที่อันเหมาะสมอย่างยิ่ง ตามพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ เป็นต้น นี่ละเป็นการช่วยได้เป็นอย่างดี คือช่วยความเพียรของเรา

เราจะเห็นได้เวลาเราออกมาจากสถานที่นั่นมาอยู่ที่ธรรมดาๆ และมาอยู่กับหมู่เพื่อน ความขี้เกียจขี้คร้านแสดงตัวขึ้นมา ความเพียรไม่ค่อยก้าวหรือไม่ก้าว เป็นเพราะอะไร เพราะจิตมันนอนจมโดยไม่รู้สึกตัว เนื่องจากกิเลสพาให้จมนั่นเอง กิเลสมันง่ายที่สุดที่จะทำเราให้ล่มจมไป ขอให้ได้ช่องได้โอกาส เพราะกิเลสมีแต่หาโอกาสจะทำลายเราอย่างเดียว เมื่อมาอยู่ที่เช่นนั้นก็เป็นอันว่าเปิดโอกาสให้กิเลสก็ว่าได้ เพราะมันต่างกันมากกับอยู่ในป่าในเขาเพียงคนเดียว นี่ละท่านจึงสอนให้อยู่ในป่าในเขา สถานที่ที่เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร

อยู่อย่างนั้นไม่นับวันนับคืนนับปีนับเดือนละ ดูแต่จิตดูแต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นจากจิต มันกลัวอะไร มันไปสัมผัสสัมพันธ์กับอะไร กลัวว่าเสือ เสืออยู่ที่ไหนความคิดสังขารอันนี้มันปรุงต่างหาก มันหลอกว่าเสือ นั่นมันก็รู้ทันเสีย สังขารความปรุงว่าเสือไปเกิดขึ้นที่ใจ ทั้งๆ ที่เสือไม่มี มันหลอกตัวเอง บังคับจิตไม่ให้คิดเรื่องเสือเรื่องสัตว์อะไรที่จะเป็นโทษแก่จิตใจ โทษแก่ความสงบ บังคับจิตให้อยู่ในอรรถในธรรม เมื่อจิตอยู่ในอรรถในธรรม อรรถธรรมเป็นเครื่องรักษาจิต จิตย่อมปลอดภัยไร้กังวล สุดท้ายก็เข้าสู่ความสงบเย็นแน่วเลย นั่น

เอ้า ที่นี่วาระหลังจากนั้นแล้ว แม้แต่เสือกระหึ่มๆ อยู่ข้างที่อยู่เรา มันกลับไม่เห็นกลัว นั่นฟังซิ นั่นละเมื่อธรรมเข้ารักษาใจเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าให้กิเลสรักษาใจหลอกวันยังค่ำ เสือไม่มีก็หลอกว่ามี อะไรไม่มีก็หลอกขึ้นมาว่ามีๆๆ แล้วเป็นไปตามมันจมไปตามมัน ไม่มีคำว่าได้เป็นผลเป็นประโยชน์เลย มีแต่เสียโดยถ่ายเดียว ผลลบตามกันไปเรื่อยๆ พอเราได้ใช้อรรถใช้ธรรมเข้ารักษาตัว สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม อุตสาหธรรม หมุนเป็นเกลียวเดียวกันเข้าสู่ใจ รักษาใจ จนกระทั่งใจมีกำลังขึ้นมาแล้ว แม้เคยกลัวมาขณะก่อน แต่ขณะนี้ไม่กลัว เห็นได้อย่างชัดเจนของผู้ปฏิบัติ

เอ้า ถ้าเราอยากจะรู้ก็ลองดูซิ ธรรมะพระพุทธเจ้าโกหกโลกเมื่อไร เมื่อธรรมได้เข้าสนิทกับใจแล้วเป็นเครื่องหนุนใจ ย่อมไม่มีความกลัว ถึงเสือจะเดินดุ่มๆ เข้ามาหาเรา เราจะเดินเข้าไปหาเสือได้อย่างไม่สะทกสะท้านเลย ทำไมเป็นอย่างนั้นฟังซิ มันเป็นแล้วนี่ไม่ใช่มาคุยเฉยๆ ได้ปฏิบัติแล้ว ได้ฝึกได้ทรมานตนแล้วถึงเหตุถึงผลถึงเป็นถึงตาย เอ้าๆ จะตายก็ตายเถอะ ทำไมมันถึงกลัวนักหนาว่ะ มันจะไม่ตายเหรอในโลกนี้ มันจะอยู่ค้ำฟ้าเหรอ ก้าวเข้าไปเดินเข้าไป มันหลอกเราว่าเสืออยู่ตรงไหน เดินเข้าไปหาเสือเลย เดินเข้าไปมันไม่มี นี่มันหลอก

เดินเข้าไปๆ จนตั้งคำสัตย์ขึ้นมากึ๊กเลยเชียวในหัวใจ เอ้า วันนี้ถ้าหากว่าจิตนี้ยังไม่กล้าหาญ ไม่รู้เรื่องรู้ราวของความกลัวความกล้านี้เมื่อไรแล้วจะไม่กลับ ใครจะว่าบ้าก็บ้าเถอะเราไม่สะทกสะท้าน กิเลสภายในหัวใจของเรานี้มันหลอกเราอยู่เวลานี้ ให้เป็นบ้าให้เป็นทุกข์จริงๆ เขาว่าลมปากของเขาไม่เห็นว่าเป็นทุกข์อะไรเลย นั่น แล้วเดินไปๆ เดินตรงนี้แล้วมันไม่มีเสือ เอ้า ไปตรงนั้น แล้วอยู่ตรงไหนอีกเดินไปอีก ไปหาตรงที่ว่าเสืออยู่ๆ ที่แท้สังขาร สัญญา มันหลอกเรา ไปที่นี่ก็แล้วไปที่นั่นก็แล้ว หนึ่งแล้วนะโกหกเรา สองแล้วนะ ตามกันไปเรื่อยไม่ใช่ไปเฉยๆ ไปด้วยความเพียร สังเกตตัวเองไปตลอดเวลา คอยจับผิดกัน กิเลสเป็นตัวผิดเป็นตัวหลอกลวง ธรรมะเป็นตัวจับผิดเป็นตัวแก้ความหลอกลวง

สุดท้ายก็เกิดความกล้าหาญขึ้นมา กล้าหาญไม่ใช่กล้าหาญธรรมดา กล้าหาญอย่างที่ว่านี้แหละ นึกให้หมดในโลกอันนี้กลัวอะไร ไม่มีอะไรกลัวเลย เอ้า ถ้าเสือเดินเข้ามานี้ เดินเข้ามาก็เดินใส่เสือเลยไม่สะทกสะท้าน จะไปลูบคลำหลังมันได้อย่างสบาย โถ เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายมาหากันเหรอ มาเยี่ยมกันเหรอ ถึงเสือจะกินมันก็ไม่มีกลัว ไม่สะทกสะท้าน เอ้า ตายก็ตายเพราะความกล้าหาญนั่นเอง ไม่ได้ตายเพราะความกลัวเลย นั่นเห็นไหม ขณะนี้เป็นอย่างนี้ คือกล้าจนตัวสั่น ความกล้าหาญชาญชัยเป็นขนาดนั้นดูซิ นี่ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่จริงยังไง ไม่ยังงั้นท่านจะสอนให้ฝึกให้ทรมานทำไม

กิเลสเป็นตัวทำให้คนเสีย ธรรมะเป็นเหตุให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ ท่านจึงสอนด้วยวิธีนี้ ให้อยู่ในป่าในเขา ที่ไหนกลัวยิ่งเข้าไป ไม่ใช่ไปนอนให้มันกินเฉยๆ นะเสือ เอ้า ไปด้วยความเพียรนี่นะ กล้าด้วยความเพียรสละตายด้วยความเพียร สละตายด้วยสติปัญญา ด้วยอรรถด้วยธรรม ไม่ใช่สละตายแบบขึ้นเขียงเฉยๆ นั่น ทีนี้มันก็รู้ละซี เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็เห็นคุณค่าของการอยู่ในป่าอยู่ในเขา เห็นคุณค่าไปโดยลำดับลำดา เมื่อเราได้ปฏิบัติในสิ่งใดแล้วย่อมเห็นเหตุเห็นผลกัน และเห็นคุณค่าตลอดถึงการเห็น ควรจะเห็นโทษมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนเพราะการปฏิบัตินั่นแล

เมื่อตนก็ได้ปฏิบัติมาอย่างนั้นแล้ว และรู้ขึ้นมาด้วยการปฏิบัติอย่างนั้นจริงๆ แล้ว ทำไมจะพูดไม่ได้มนุษย์เรา ใจเป็นของรู้ รู้แล้วทำไมพูดไม่ได้ ปากเป็นสิ่งที่พูดได้แท้ๆ นี่ ทำไมพูดไม่ได้วะ เอาอย่างนั้นละซิ

ให้รู้ซีเรื่องนักปฏิบัติเราเป็นยังไง ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นเป็นโมฆะจริงๆ เหรอ สอนโลกแล้วโลกมันไม่ยอมรับนั่นซี โลกมันเป็นโมฆะ หัวใจเป็นโมฆะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันเป็นโมฆะ ธรรมะถึงจะเลิศประเสริฐเท่าไรก็เหมือนกับเอายาไปใส่คนตายนั่นแหละจะเป็นอะไร มันได้ผลประโยชน์อะไร ยาจะวิเศษวิโสขนาดไหนเอาไปใส่คนตายซิ เอากรอกลงไป เอาฉีดลงไป ก็ฉีดคนตายมันจะฟื้นได้ยังไง มันไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะอยู่กับคนประเภทปทปรมะ ไม่สนใจกับสิ่งใดเลยนอกจากกิเลสตัณหาฉุดลากไป เหมือนกับสิ่งไม่มีหัวใจเท่านั้น แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรธรรมะ

เราไม่ใช่คนประเภทนั้นนี่นะ เรารู้ดีรู้ชั่ว เรามาบวชในพุทธศาสนา เราบวชเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อคุณงามความดี สิ่งใดที่เป็นข้าศึกต่อคุณงามความดี ทำไมเราจะไม่รู้ ทำไมเราจะไม่แก้ไม่ถอดไม่ถอนล่ะ เรายิ่งเป็นพระทั้งองค์ เป็นผู้ปฏิบัติทั้งคนด้วย ทำไมจะไม่แก้กันล่ะ

อยู่เฉยๆ ทำไม การอยู่เฉยๆ เป็นประโยชน์อะไรบ้างถามตัวเองซิ อย่าให้ครูบาอาจารย์ถาม อย่าให้ผู้อื่นผู้ใดถาม ไม่ดี มันจะเกิดกิเลสขึ้นมา ด้วยการกระทบกระเทือน การกระทบกระเทือนนั้นละกิเลสมันเกิด มันเกิดขึ้นในขณะนั้น

มันเร็วที่สุดนะเรื่องของกิเลส เคยได้พูดแล้ว ไม่มีอะไรแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสถ้าสติปัญญาไม่ทันมันจะเกิดได้วันยังค่ำคืนยังรุ่ง กระดิกออกมาพับเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น จากหัวใจดวงนั้น ต่อเมื่อสติปัญญาทันมันนั่นแหละถึงจะรู้มัน ออกอาการใดๆ รู้ จนกระทั่ง เอ้า ให้ใจบริสุทธิ์ กลมายาของกิเลสออกแง่ไหนทำไมจะไม่รู้ มันอยู่ในหัวใจนี้ ทำลายมันจนพังไม่มีอะไรเหลือ ตลอดถึงโคตรแซ่ของกิเลส อวิชฺชาปจฺจยา ก็คือโคตรแซ่ของกิเลสที่พาให้สัตว์เกิดแก่เจ็บตายตลอดเวลานี้ พังไปหมดแล้ว มันจะไปแสดงอยู่ในจิตดวงใด ในอาการของผู้ใด ทำไมจะไม่ทราบล่ะ ก็เมื่อธรรมเป็นผู้สังหารมันเอง เพราะเหนือมันอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ทราบอากัปกิริยาที่มันแสดงออก มันไม่มีที่จะแสดงออกในหัวใจเรา มันแสดงออกจากหัวใจใดจะต้องรู้ ถ้าลงได้เหนือมันแล้วต้องรู้ นั่นละการชำระตนเอง

ต้องให้มีความอาจหาญชาญชัยซิ เราเคยจมอยู่กับกิเลส มันพาให้เราวิเศษวิโสอะไรบ้าง เดินจงกรมก็กลัวแต่จะตาย นั่งสมาธิภาวนาก็กลัวแต่จะตาย มีอะไร มีแต่กลัวแต่จะตายๆ เรื่องกลัวแต่จะตายคือเรื่องอะไรนั่นน่ะ พิจารณาซิ ถามเจ้าของอย่างนี้ซิ จิตเมื่อเวลาตีเข้าถูกช่องถูกทาง กิเลสเวลาตีเข้าถูกช่องถูกทางมันหมอบเหมือนกันนั่นแหละ มันทำไมจะไม่หมอบ ไม่หมอบพระพุทธเจ้าจะสอนให้ตีให้ชำระเหรอให้สังหารมันเหรอ ธรรมเท่านั้นที่จะทำให้กิเลสได้กระเทือน นอกจากนั้นไม่มีอะไรที่จะให้กิเลสกระเทือนได้เลย นี่ละการปฏิบัติ

เราต้องใช้ความคิดความอ่านซี สติปัญญามีอย่าอยู่เฉยๆ หรือว่าทำจิตให้สงบแล้วปัญญาจะเกิดเอง อย่าฝันมันจะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดจนกระทั่งสมาธิคือความสงบใจนั่นแหละ ถ้าทำด้วยความอ่อนแอท้อแท้ความขี้เกียจขี้คร้านพาให้ทำแล้ว มันจะจมลงในหมอนเท่านั้นละไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้เห็นโทษของมันในสิ่งเหล่านี้ ผู้จะปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์ต้องเอาจริงเอาจังอย่าท้อถอย

ให้ดูหัวใจเจ้าของ นี่สำคัญมากที่ตรงนี้นะ อย่าไปดูสิ่งใดฟังสิ่งใด สำคัญกับสิ่งใดมากยิ่งกว่าดูความเคลื่อนไหวของใจที่แสดงออกมา ด้วยอำนาจของกิเลสแทบทั้งนั้นแหละ มันแสดงออกมา ถ้าสติปัญญาไม่ทันมันจะมีแต่เรื่องของกิเลส นอกจากว่ากิเลสมันอ่อนตัวลงจนกระทั่งมันหลบมันซ่อนแล้ว นั้นละมันจะไม่แสดง มีแต่ธรรมละ คือ สติธรรม ปัญญาธรรม แสดงตัว แสดงลวดลายอยู่ตลอดเวลาภายในหัวใจดวงนั้น เวลากิเลสมันกระดิกออกมา ก็เป็นอันว่าถูกสังหารกันทันทีๆ มันจะแสดงอะไรล่ะ กิเลสมันก็ฉลาด ไม่งั้นจะปกครองหัวใจโลกหรือเป็นเจ้าอำนาจบนหัวใจโลกได้ยังไง นั่นมันลำบากขนาดนั้นละเรื่องการชำระกิเลส

ถ้าเราจะเอาความลำบากนี้เข้ามาเป็นอารมณ์ของใจอีก ก็จะเป็นเรื่องของกิเลสอีก ให้เกิดความท้อแท้อ่อนแออีกแหละ ไปไม่ไหว ว่าอีกแหละ นั่นฟังซิ มันแหลมไหมกิเลส มันแทรกขึ้นมาทุกระยะๆ นะ

การพูดเรื่องกิเลสต้องเห็นเรื่องของกิเลส พูดเรื่องของธรรมต้องรู้เรื่องของธรรม เห็นเรื่องของธรรมให้เต็มหัวใจเถอะน่ะ มันพูดได้เต็มปากนั่นแหละ ถ้าไม่เห็นนี่ซีมันลำบาก จะทำอะไรก็กลัวแต่จะเป็นจะตาย เล้ยไม่ได้เรื่อง วันหนึ่งๆ บวชเข้ามาก็มานับวันนับคืนนับปีนับเดือน นับอะไรมืดๆ แจ้งๆ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานเขาก็อยู่ในความมืดแจ้งเหมือนกันกับเรา เขาไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร แล้วเราจะเอาความวิเศษวิโสอะไรมาจากมืดจากแจ้ง เท่านั้นปีเท่านี้เดือน เท่านั้นพรรษาล่ะ ถ้าไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติฆ่ากิเลสตัวเป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจออกแล้ว เราอย่าหวังว่าจะเป็นความสุข

เราจะไปโลกไหนถามเจ้าของซิ โลกไหนโลกวิเศษ ถ้าลงได้กิเลสบีบหัวใจอยู่แล้วมันก็เหมือนกับนักโทษ ย้ายจากเรือนจำนี้ไปสู่เรือนจำนั้น ย้ายจากเรือนจำนั้นสู่เรือนจำนี้ ก็คือนักโทษย้ายที่ย้ายฐานนั่นเอง มันมีความสุขความเจริญความเลิศเลอที่ตรงไหน พิจารณาเอาซิ นี่ละการถามเจ้าของให้ถามอย่างนั้น กิเลสอยู่บนหัวใจมันก็เป็นเหมือนกับนักโทษ ย้ายภพย้ายภูมิย้ายไปไหนก็ไม่พ้นที่จะเป็นนักโทษของกิเลสบีบหัวใจอยู่ตลอดเวลา ฆ่ามันเสียแหลกไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นละไม่ถาม ถามหาทำไม อดีตผ่านมาแล้วยุ่งอะไร อนาคตยังไม่มาถึงยุ่งอะไร ปัจจุบันก็รู้เท่าทันไม่ยึดไม่ถือ นั่นฟังซิ แล้วจะไปหมายอะไร เมื่อไม่หมายแล้วก็หมดกังวล แล้วจะเอาทุกข์มาจากไหน

ทีนี้มันก็ทำให้รู้ซิว่า ที่เป็นทุกข์ๆ ในหัวใจนี้ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะกิเลสเท่านั้น มีมากมีน้อยก็ตาม เหมือนอย่างหนามอย่างเสี้ยนเรานี่ ละเอียดขนาดไหนมันก็ทุกข์ ถ้ายังมีอยู่ในร่างกายของเรานี้ ถอดถอนมันออกหมดเสียนั่นถึงจะสบาย จิตใจก็เหมือนกัน

ธรรมพระพุทธเจ้าถอดถอนกิเลสไม่ได้แล้วมันก็หมด จะเอาอะไรมาถอนเอาอะไรมาถอด แล้วย่นเข้ามาหาตัวของเราอีก ถ้าเราถอดถอนกิเลสไม่ได้แล้วจะให้ใครถอน ใครจะเลิศยิ่งกว่าเราผู้แก้กิเลสในหัวใจเรา ใครจะเก่งยิ่งกว่าเราผู้แก้กิเลสในหัวใจเรา ใครจะเพียรยิ่งกว่าเราผู้แก้กิเลสในหัวใจเรา ใครจะฉลาดยิ่งกว่าเราผู้พยายามแก้หัวใจเราด้วยปัญญา ใครจะมีสติยิ่งกว่าเราผู้ตั้งสติอยู่ตลอดเวลานี้ นั่นฟังซิ มันเกิดได้ๆ มีได้ ถ้าเราได้ปักใจลงไปเพื่อความมีความเป็นในสิ่งที่เป็นสิริมงคลทั้งหลายสำหรับตัวของเราเอง ต้องเป็นได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นธรรมพระพุทธเจ้าไม่เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เหล่านี้เป็นเรื่องของธรรมทั้งนั้นสอนคนให้พ้นทุกข์พ้นภัย

หัวใจนี้เป็นสำคัญมากนะ ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น อาศัยอยู่ในร่างนี้แล้วยังไม่แล้ว ยังมายึดร่างนี้ว่าเป็นตัวของเราอีกแบกหมดเลย นั่นเห็นไหมกิเลสมันฉลาดไหม ยึดนี่อุปาทานขันธ์ท่านว่า โน่นออกมาจากใจนั่นแหละ ยึดใจ ยึดมาโดยลำดับลำดา พอปล่อยเข้าไปๆ ดังเคยอธิบายให้ฟังแล้ว ปล่อยเข้าไปจนกระทั่งถึงรากแก้วรากฝอย ถอนพรวดออกมาหมด ไม่ถามหานิพพานถามหาทำไม

มีกิเลสเท่านั้นพาให้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ วุ่นนั้นวุ่นนี้อยู่ตลอดเวลา กะนั้นคาดนี้ มีแต่เป็นลมๆ แล้งๆ คว้าน้ำเหลวไปหมด ปักลงไปซี ตรงไหนกิเลสสร้างเรื่องขึ้นมา อยู่ตรงไหน มันสร้างที่หัวใจนั่นแหละ ดูให้ดี

การประกอบความพากเพียรอย่าไปหาเวล่ำเวลา อุบายวิธีดัดเจ้าของเป็นของเจ้าของเอง เป็นกรณีพิเศษสำหรับแต่ละคนที่จะหาอุบายฝึกตนเอง แก้ไขตนเอง ครูบาอาจารย์ยกยื่นให้ก็เหมือนกับยื่นให้ธรรมทั้งดุ้นนั่นแหละ เจ้าของต้องไปจาระไนเอา คิดแยกตัวเอง ไม่เช่นนั้นไปไม่รอดนะ สักแต่ว่าประกอบความเพียรเฉย ๆ

ธรรมพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทุกแง่ทุกมุมซึ้งทั้งนั้น ถ้าเราจะใช้ความพิจารณาตามความซึ้งแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงออกมานี้ เพราะทรงแสดงออกมาด้วยความบริสุทธิ์หมดจดแท้ๆ ภายในพระทัย และความฉลาดแหลมคมด้วย แสดงออกมาด้วยความฉลาดแหลมคมที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า ผู้พินิจพิจารณาตามพระโอวาท ไม่ว่าจะบทใดบาทใดแง่ใดก็ตามเถอะ จะได้ความซึ้งใจมาโดยลำดับลำดาเพราะมีน้ำหนักพอๆ กันหมด ในนามว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว นั่น แต่นี้เราไม่พิจารณานั่นซิ มันถึงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

อยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นธรรมทั้งหลายก็แทบเป็นแทบตาย สอนก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนหมดไส้หมดพุงไม่มีอะไรเหลือเลย ยังยึดเอาไม่ได้มันก็สุดวิสัยซีว่าไง จะให้สอนอะไรไปอีก ก็สอนหมดพุงแล้ว ฟังแต่ว่าหมดพุงเป็นไร ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติซิ ให้ต่างคนต่างเหมือนอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่อยู่ในท่ามกลางหมู่เพื่อนฝูงนั่นแหละ ไม่ให้คิดเป็นเครื่องกังวลอันเป็นการทำลายธรรมะให้ขาดวรรคขาดตอนไป ด้วยความกังวลในสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้ไม่ดี

พยายามซิ เจ้าเรื่องจริงๆ อยู่ที่ไหนก็บอกแล้ว อยู่ที่จิต แสดงอยู่ที่นั่นละ มาหมายเรื่องนั้นและมาหมายเรื่องนี้ ผู้นั้นเองเป็นผู้ออกไปหมาย เราหลงตื่นเงามันไม่ใช่อะไรนะ จำให้ดีคำนี้ เวลามันเป็นขึ้นมาจะเป็นเหมือนกับกังวานอยู่ภายในหัวใจเจ้าของนั่นแหละ ครูบาอาจารย์จะแสดงไว้นานเท่าไรก็ตาม มันจะไปกังวานอยู่ในนั้นด้วยความจริงที่เรารู้เราเห็นขึ้นมานั้นแหละ อ๋อๆ ที่นี่ยอมรับ กราบ ไม่สงสัย นี่ละคือเจ้าเรื่องใจดวงนี้เอง

แหมเวลามันก่อๆ จริงๆ นะ ไม่ทราบเงื่อนต้นเงื่อนปลายเล้ย มันเป็นอยู่นี้และไม่ทราบว่าจิตเป็นยังไงอีกด้วย หากมีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายเต็มหัวใจ ไฟบรรลัยกัลป์สู้ไม่ได้ ไฟบรรลัยกัลป์มันอยู่ไหนไม่รู้นะ ไฟหัวใจเรานี่ซิ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ความยุ่งเหยิงวุ่นวายเกิดขึ้นจากไฟเหล่านี้ เผาอยู่ที่หัวใจนี้ไม่มีเวลาสร่างเลยถ้าไม่แก้มันได้ หรือให้มันสงบตัวลงได้ด้วยการแก้ไขดัดแปลงกัน เราก็จะแบกอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไปโลกไหนก็จะแบกไฟไป มันวิเศษอะไร มันสุขที่ตรงไหน เอ้า สมมุติว่าเราขึ้นจากชั้นนี้ไปชั้นบน พร้อมทั้งแบกไฟขึ้นไป มันก็ไปเผาอยู่ข้างบนนั่นซิ เหมือนคนไข้ไปอยู่โรงพยาบาล ไปอยู่ชั้นไหนก็ไปซิคนไข้นั่นน่ะ มันก็เป็นคนไข้อยู่ในชั้นนั้นๆ แหละ ถ้าเป็นมากมันก็ไปครวญไปครางอยู่โน้นละ มีร้อยชั้นก็ไปร้องไปครางอยู่ในร้อยชั้นนั่น มันจะเอาความสุขมาจากไหนถ้าไม่หายไข้น่ะ ถ้าหายไข้เสียอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ชั้นนั้นชั้นนี้ มันเป็นปกติธรรมดาไม่เป็นทุกข์ นี่มันทุกข์เพราะไข้ต่างหากบีบบังคับ

อันนี้ก็ทุกข์เพราะกิเลสต่างหากบีบบังคับหัวใจ ถอดถอนกิเลสออกหมดแล้วอยู่ไหนก็สบายทั้งนั้น ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลาว่าสูงว่าต่ำ ว่าจะไปที่ไหนต่อที่ไหน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเงาทั้งนั้นไม่ใช่ความจริง ความจริงจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือดวงใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วนั่นแหละ หมดอดีตอนาคต ปัจจุบันก็ไม่สนใจเพราะรู้เท่าแล้ว นั่นเห็นไหม ฟังซิ นี่ละท่านว่าเลิศ เลิศอย่างนี้แหละ ให้เห็นตรงนี้เข้าไปซิ ว่าพระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหน เราคัดค้านเราไม่ได้แล้วจะไปคัดค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ความจริงมันเหมือนกันนี่ รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างเดียวกันแล้ว ค้านกันได้ลงคอหรือคนเรา

แม้แต่ภายนอกอยู่นี้ก็เหมือนกัน ต่างคนต่างไปเห็นแล้ว จะเอาอะไรมาค้านกันมันยอมรับกันนั่นซิ ธรรมก็ยิ่งเป็นของจริงเต็มส่วนด้วยแล้ว รู้เข้าไปตรงไหนมันจะยอมรับๆๆ เท่านั้นเอง ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

ผมไม่ค่อยจะได้ประชุมเทศน์อบรมอยู่บ่อยๆ นะทุกวันนี้ ไม่เหมือนแต่ก่อน ธาตุขันธ์ก็อย่างว่าแหละ วัยก็แก่ลงไปชราลงไปโดยลำดับลำดา จะให้ขยันขันแข็งแน่นหนามั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้ยังไง อยู่กับหมู่กับเพื่อนก็อยู่ไปอย่างนั้นแหละ การแนะนำสั่งสอนก็แล้วแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์จะอำนวยให้มากน้อย ถ้าธาตุขันธ์ไม่อำนวยแล้วก็จะเอาอะไรมาเทศน์ เพราะธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือ เมื่อเครื่องมือมันชำรุดแล้วจะเอาอะไรมาใช้ มันก็อยู่เฉยๆ นั่นซี เพียงแต่ลำพังใจที่จะแสดงออกอย่างนี้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยขันธ์เป็นเครื่องแสดงออก

ฉะนั้นหมู่เพื่อนก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจ อย่าให้ได้หนักอกหนักใจนะ สอนแทบล้มแทบตายแล้ว ยังให้แบกความหนักอกหนักใจ เพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันนี้อีกแล้ว นั่นละผมอกแตกนะ อย่าว่าแต่ผู้ทะเลาะกันจะอกแตก นี่ก็อกแตกได้เหมือนกัน สลดสังเวชนั่นเอง สอนอย่างหนึ่งผลเป็นขึ้นมาอย่างหนึ่ง มันขัดมันแย้งกัน ก็แสดงให้เห็นชัดๆ ว่ากิเลสกับธรรมเข้าแข่งกันในวัดในวาในครูบาอาจารย์ ทั้งๆ ที่เทศน์สอนให้ชำระกิเลสตลอดเวลา แต่กลายเป็นเรื่องของกิเลสมาเป็นคู่แข่งกับธรรมของครูบาอาจารย์ มาเป็นข้าศึกต่อเพื่อนต่อฝูง ต่อครูต่ออาจารย์แล้วยิ่งประจานขายหน้าความเลวทรามของตนอย่างไม่มีอะไรที่จะให้อภัยเลย จึงขออย่าให้ได้เห็น ขออย่าให้ได้ยิน

เอาละเหนื่อยแล้ว เทศน์เท่านี้พอแล้ว

Cr.http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1045&CatID=3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น