หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

๒๘ มิถุนายน

๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๖ ..๕๗ ปี นาวี ๐๙..(ครั้งที่ ๒)
สโมสรราชนาวี ท่าช้าง










๒๘ มิถุนายน ๖๕ ..๕๖ ปี นาวี ๐๙..(ครั้งที่ ๑ )




๒๘ มิถุนายน (๒๕๐๙ - ๒๕๖๕)


*************
*********
บันทึกนี้ได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเรา นรจ.09(รวมทั้ง นย.11/งูดิน58)ที่มีกิจกรรมร่วมกันประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ราวพ.ศ.2554..เป็นช่วงที่ผมเกษียณอายุแล้ว...ขอขอบคุณเพื่อน⚓⚓091158ทุกท่านที่ได้แบ่งปันเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง..😍🤟

***********

***********

**********

************

***************

***************

***********



เล่าสูกันฟัง (คลิกที่นี่)

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

เล่าสู่กันฟัง...

 



     

           ผมเปิดดูบันทึกในบัญชีการเงินสวัสดิการและบัญชีการเงินกองทุนกิจกรรมของรุ่นฯพบขัอมูลที่น่าสนใจเลยนำมาเล่าสู่กันฟังครับ ผมรับหน้าที่เป็นเหรัญญิกรุ่นฯตั้งแต่ 8 พ.ค.54 โดย พ.จ.อ.ชลิต เกิดชื่น รับหน้าที่ประธานรุ่นฯต่อจาก น.อ.สมนึก นาคสมบุญ ซึ่งได้มอบเงินจากการรับ-ส่งหน้าที่ จำนวน 70,000 บาท ประธานชลิตฯได้นำเงินเข้าฝากธนาคารในชื่อบัญชีสวัสดิการของรุ่นฯและได้เปิดบัญชีเงินฝากกองทุนกิจกรรมรุ่นฯโดยเริ่มแรกได้มาจากการบริจาคของเพื่อนๆ 27นาย(ผมไม่มีรายชื่อผู้บริจาค) จำนวน 20,800 บาท เมื่อ 1 มิ.ย.54 และในการส่งหน้าที่ประธานให้ พล.ร.ต.วิติ บัวศรี เมื่อ 24 เม.ย.56 มียอดเงินในบัญชีสวัสดิการจำนวน 108,500 บาท ส่วนในบัญชีกองทุนกิจกรรม หลังจากงานเลี้ยงรุ่นฯแล้วขาดดุล 84,793 บาท ซึ่งประธานชลิตฯได้ดำเนินการใช้เงินส่วนตัวจ่ายให้ทั้งหมดโดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายจากบัญชีสวัสดิการแต่อย่างใด ยอดเงินในการส่งมอบหน้าที่ประธานยังคงเป็น 108,500 บาท

   (ช่วง 24 เม.ย.56-29 เม.ย.58 พล.ร.ต.วิติฯเป็นประธานรุ่นฯและ น.อ.ชูศิลป์ สืบปรุ เป็นเหรัญญิก)

      -29 เม.ย.58 ร.อ.สุรเดช กันเกตุ เป็นประธานรุ่นฯต่อจาก พล.ร.ต.วิติฯยอดเงินในการรับ-ส่งหน้าที่ จำนวน 205,970.91 บาท ผมได้รับมอบหน้าที่เป็นเหรัญญิกรุ่นฯอีกครั้งหนึ่งได้ปรับเปลี่ยนบัญชีเงินฝากธนาคารของรุ่นฯเหลือบัญชีเดียว แต่ยังคงมีบัญชีสวัสดิการและบัญชีกิจกรรมเหมือนเดิม โดยหากมีการจัดงานเลี้ยงรุ่นฯจะใช้ บัญชีกิจกรรมเบิกเงิน(ยืม)จากบัญชีสวัสดิการมาใช้จ่าย หลังจากเสร็จงานแล้วจะนำคืนเข้าบัญชีสวัสดิการดังเดิม จะเหลือติดบัญชีกิจกรรมไว้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น  ในช่วงนี้ตั้งแต่ 7 พ.ค.58 เป็นต้นมาได้เริ่มใช้งานไฟล์การเงินของรุ่นฯโดย พ.จ.อ.วิเชียร มามีเกตุ ได้กรุณาจัดทำขึ้นทำให้สะดวกในการใช้งานและตรวจสอบร่วมกับสมุดบัญชีทั้งสองเล่มอีกด้วย การบันทึกรายรับและรายจ่ายของทั้งสองบัญชี รายละเอียดต่างๆสามารถเข้าดูได้ในไฟล์การเงินของรุ่น09 ครับ

      -26 เม.ย.60 พล.ร.ต.จิระชัย กันตะสุวรรณ เป็นประธานรุ่นฯต่อจาก ร.อ.สุรเดชฯ ยอดเงินในการรับ-ส่งหน้าที่ จำนวน 350,000.30บาท

      -27 มี.ค.62 น.ท.ชาญณรงค์ ไวทยะพัธน์ เป็นประธานรุ่นฯต่อจาก พล.ร.ต.จิระชัยฯ ยอดเงินในการรับ-ส่งหน้าที่ จำนวน 372,812.54 บาท

      -23 ก.พ.65 ร.อ.สมศักดิ์ ยศศรี เป็นประธานรุ่นฯต่อจาก น.ท.ชาญณรงค์ฯ ยอดเงินในการรับ-ส่งหน้าที่ จำนวน 406,892.17 บาท

      ดังที่เคยบอกไว้แล้วว่าข้อมูลในไฟล์การเงินรุ่น09 เริ่มใช้ตั้งแต่ 7 พ.ค.58 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลต่างๆจึงมีบันทึกไว้ ส่วนก่อนหน้านั้นผมมีบันทึกไว้ในสมุดบัญชีการเงินสวัสดิการ นรจ.รุ่น 09 และในสมุดบัญชีการเงินกองทุนกิจกรรม นรจ.รุ่น 09 จึงได้นำข้อมูลที่มีอยู่มาเล่าสู่กันฟังในฐานะเหรัญญิกของรุ่นฯ เพื่อให้เพื่อนๆในคณะกรรมการรุ่นฯได้รับทราบครับ

      น.อ.สำราญ ศรีโมรา

           เหรัญญิกรุ่นฯ

             18 พ.ค.65

****************************

Cr.Line สำราญ ศรีโมรา

***************************

เพื่อนช่วยเพื่อน ๒๕๖๔ (คลิก)

***************************

อาลัยเพื่อนที่จากไปแล้ว (คลิก)

***************************

รวมบันทึกงานเลี้ยงรุ่น (คลิก)

***************************

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

รู้ไว้ใช่ว่า...

 


ในยุคที่ใครก็สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้จากการสร้างสรรค์เนื้อหาลงใน Social Media ต่าง ๆ ทำให้เราเห็นคนเก่งมีความสามารถเกิดขึ้นกันเต็มไปหมดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนที่ก้าวเข้าสู่วงการนี้ต้องเจอ คือ คอมเมนต์หรือคำวิจารณ์ต่าง ๆ ซึ่งถ้าได้คำชม ก็เป็นกำลังใจที่ดีให้ทำต่อไป แต่ในทางกลับกันถ้าเจอในด้านลบ ก็อาจจะทำให้หมดแรงทำต่อ รวมถึงนำพาให้ชีวิตพัง เสียความมั่นใจ ในตัวเองกันไป

เราทุกคนไม่ว่าจะโด่งดังมีคนรู้จักมากมาย หรือแค่วงแคบ ๆ ในหมู่เพื่อน ๆ เราไม่มีทางรู้เลยว่าวันดีคืนดีสิ่งที่เราโพสต์จะดังปังไกล มีคนแชร์หลายพันหลายหมื่นเมื่อไร ซึ่งแน่นอนว่าก็จะมีคนมากมายหลากหลาย ร้อยพ่อพันแม่ ทั้งคนดีมีมารยาทหรือคนนิสัยเสีย มีปัญหาทางจิต เข้ามาเยี่ยมเยียนเหมือนทัวร์ลง หรือบางทีแค่เพื่อนกันเองก็ยังทำกันได้ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ นี้เราได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ให้ รวมถึงประสบการณ์ที่ทีมงานเราได้เจอกับตัวมาเพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกันได้อย่างถูกต้อง

ทำความเข้าใจทำไมคนถึงต้องร้ายและหยาบคายใส่กัน

โดยปกติของคนที่มีความสมดุลทางอารมณ์และความคิด จะไม่ไปก่นด่าหรือไล่คอมเมนต์ด้านลบใส่คนอื่นที่ไม่รู้จักตลอดเวลา แต่สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหา มีความเครียดด้านใดด้านหนึ่ง ก็มักจะต้องการที่ระบายออก เพื่อปรับสมดุลให้กับตัวเอง โดยมักจะเลือกคนที่ “แตกต่าง” เป็นสนามอารมณ์ ขยี้ไปยังปมบางอย่าง เช่น สีผิว ความเชื่อ ศาสนา รสนิยมทางเพศที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่คนเหล่านี้เลือกที่จะไปบูลลี่ชีวิตคนอื่นว่า

- อยากเป็นที่สนใจ เพราะในชีวิต “ด้านหนึ่ง” ของเขา เป็นมนุษย์ล่องหนที่ไม่มีตัวตน

- อิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี และคิดว่าตัวเองควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าคน ๆ นั้น

- ต้องการให้คนอื่นเห็นว่าเขาเจ๋ง และรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ โดยการกดคนอื่นให้ต่ำลง

- เกลียดตัวเอง ไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น และแก้ไขไม่ได้ จึงเลือกที่จะด่าคนอื่นในเรื่องเดียวกัน

- แก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้ เลยต้องหนีปัญหาด้วยการมาทำลายคนอื่น

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรต้องรู้ไว้ คือ ไม่ใช่ว่าเราต้องเจอเรื่องแบบนี้แค่คนเดียว มันเป็นเรื่องที่หลายคนต้องเจอสักช่วงหนึ่งของชีวิต โดยผลการสำรวจในไทยจากเด็กกว่า 1,600 ราย พบว่ามีเด็กที่เคยถูกเพื่อนกลั่นแกล้งบูลลี่ จำนวนที่สูงถึงร้อยละ 91 และเกือบร้อยละ 30 เคยโดนแกล้ง ด่าทอทางออนไลน์เลยทีเดียว

9 แนวทางที่ควรทำเมื่อมีคนมาพูดถึง หรือคอมเมนต์แย่ ๆ บนโลกออนไลน์

เมื่อเราแสดงความคิดเห็น หรือมีตัวตนบนโลกออนไลน์ การที่มีคนพูดถึงหรือคอมเมนต์ดูจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงกันไม่ได้ ซึ่งคอมเมนต์เหล่านี้ก็จะมีทั้งดีและแย่ มีประโยชน์และไร้สาระ อันไหนที่เป็นการติชมอย่างมีเหตุมีผลมีมารยาท ก็ควรค่าแก่ การนำเอามาคิดพิจารณา แต่หลายครั้งเราก็จะเจอความเกรี้ยวกราดจากคนบางกลุ่มที่พร้อมจะมาถล่มด่ายิ่งกว่าพายุ ซึ่งแนวทางในการรับมือมีดังนี้

1. อย่าเอาคืนและตอบโต้ด้วยคำด่าที่แรงกว่า เพราะมันจะมีแต่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง และเราก็จะกลายเป็นหนึ่ง ในคนที่หยาบคายไปด้วย ถ้าเขาเข้าใจผิดหรือรับรู้มาแค่ด้านเดียวก็ตอบกลับข้อมูลที่ถูกต้องอย่างสุภาพไป

2. อย่าเก็บเอาคอมเมนต์แย่ ๆ มาคิด หรือสงสัยในความเชื่อ ความสามารถของเรา ถ้าสิ่งที่เราทำไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็ทำต่อไปเถอะ

3. อย่าอ่านคอมเมนต์แย่ ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งอ่านมีแต่จะทำให้จิตใจหดหู่ลงโดยเราก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ส่วนคนที่พิมพ์เอาไว้ก็ไม่ได้สนใจว่าเราจะรู้สึกอย่างไรด้วย

4. เข้าใจว่ามีมุมมองหรือความเชื่อที่แตกต่าง ความคิดของเราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล คนอื่นก็มีสิทธิ์ที่จะคิดเห็นต่างไปจากเราได้เหมือนกัน บางครั้งคอมเมนต์ที่แย่อาจจะเป็นเพียงความคิดที่เห็นต่างก็เป็นได้

5. รู้จักที่จะมองข้ามและเพิกเฉย บางครั้งการตอบโต้ที่ดีที่สุดคือความเงียบ และทำเรื่องดี ๆ เป็นประโยชน์กับคนอื่น ก็จะเป็นคำตอบที่ชัดเจนได้เหมือนกัน

6. เข้าใจว่าคนเหล่านี้ต้องการให้เรารู้สึกแย่ เพียงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี

7. ใช้กฎ 30 วิ พักก่อนโพสต์ หลังจากพิมพ์ตอบโต้เสร็จ อย่าเพิ่งกดส่งทันที ให้เดินไปทำอะไรสักพักก่อนจะตอบโต้ เพื่อดึงสติ คิดให้ดีอีกครั้งก่อนส่ง

8. หยุดการใช้เทคโนโลยี ถ้าการติดหนึบอยู่กับเรื่องเดิม ๆ รู้สึกเครียดจนเกินไป ให้ลองพักหยุดเล่นโซเชียลสักวัน พักไปอ่านหนังสือ แช่น้ำอุ่น หรือออกไปทำอย่างอื่นบ้าง เช่น การเล่นกีฬา พบปะผู้คนใหม่ ๆ ที่มีความสนใจคล้ายกัน เป็นต้น

9. พูดคุยกับคนที่มีความเชื่อ ความชอบเหมือน ๆ กัน เพื่อเติมพลังด้านบวก และทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวกับสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราทำ

อย่างไรก็ดี แนวทางเหล่านี้จะเหมาะสำหรับคนที่ถูกแซะแซว นินทาว่าร้ายทางออนไลน์ โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่รวมถึงการกระทำอื่น ๆ เช่น การโดนสร้างข่าวปลอม หรือความพลั้งเผลอทำผิดไป ซึ่งเรื่องเหล่านั้นเราสามารถแก้ไขได้ด้วยการแจ้งเรื่องจริงให้ได้ทราบ พร้อมหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อแก้ต่าง หรือเราทำผิดพลาดไปจริง ๆ ก็ยอมรับผิดและขอโทษอย่างจริงใจ ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน แต่หากคนยังไม่เลิกรา และสร้างเรื่องหาราวให้วุ่นวายใจ ก็เป็นเรื่อง ที่ใหญ่ขึ้นไป และอาจต้องเปลี่ยนวิธีการรับมือไป

Cr. เรื่อง : www.DROIDSANS.com

******

https://www.egat.co.th/egattoday/index.php?option=com_k2&view=item&id=14328:20210204-egatsp

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

การบ้าน 7 ข้อ

 


การบ้าน 7 ข้อ จาก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ...

*****

การบ้าน 7 ข้อ ให้ฝึกทำทุกข้อ ทุกวัน


การบ้านที่ 1 Positive Affirmation 

เรามีเรื่องดีๆ เรื่องบวกๆ เรื่อง Positive อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ยืนยันกับตัวเองหน้ากระจกทุกวัน

ฉันทำได้ ฉันมีความสุข ฉันเป็นคนสุดยอด ฉันเรียนรู้อยู่เสมอ ฉันไว้ใจในตัวฉันเองไว้ ฯ


การบ้านที่ 2 กตัญญูกตเวทิตา

แสดงความกตัญญูกตเวทิตา ต่อพ่อแม่ ครูที่โรงเรียนเก่า ครู อาจารย์มหาวิทยาลัย ปู่ย่าตายาย เจ้านายคนแรก ครูอุปัชฌาย์ สิ่งแวดล้อม คุณหมอที่ทำคลอด ผู้มีพระคุณทั้งหลาย ฯลฯ


การบ้านที่ 3 รู้ทุกก้าวที่เดิน 

ตัวอย่าง ในแต่ละวัน กลับมารู้ได้กี่ก้าว กลับมารู้เท้าได้กี่ครั้ง


การบ้านที่ 4 ตัดใจ 

ตัวอย่าง ไม่หาเรื่องใคร / ไม่เอาเรื่องใคร / ไม่ดุไม่ด่า / เบรคความรู้สึก


การบ้านที่ 5 ฝึกรู้กาย รู้ใจ รู้ความคิด 

เช่น เขียนเป็นภาพ เขียนสมการ


การบ้านที่ 6 แผ่เมตตา และสวดบทขอขมากรรม


การบ้านที่ 7 ขอบคุณ

ขอบคุณเรื่องใหญ่ๆ คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ได้วิสัยทัศน์ ได้แก่  ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณพระรัตนตรัย ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์  ขอบคุณบารมี ขอบคุณบุญที่ทำมาทุกชาติภพ

ขอบคุณเรื่องกลาง ๆ คือคนใกล้ชิด ได้แก่ พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เรื่องใกล้ๆ ตัว

ขอบคุณเล็ก ๆ คือเรื่องที่นึกไม่ถึง  ขอบคุณสิ่งเล็กๆเท่าไร ใจยิ่งใหญ่ ได้แก่ แว่นตา หูฟัง  ช้อน ขนจมูก


... มุมมองดีๆ

จาก ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

👍อย่าลืมติดตาม Subscribe youtube channel : วรภัทร์ ภู่เจริญ

👍ติดตาม Facebook Page : วรภัทร์ ภู่เจริญ


#จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด

#BojjhangaFoundation

#FacilitatorAcademy

#ปฏิบัติบูชา

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

พระพรหม..พรหมวิหารสี่

 


ในศาสนาพุทธ พระพรหม เป็นชาวสวรรค์ชั้นสูงกว่าเทวดาในฉกามาพจร และยังเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ แต่ในภพชาติก่อนจุติและปฏิสนธิเป็นพรหมมีกุศลมาก มีฌาณสมาบัติเป็นอารมณ์ เมื่อตายจึงไปเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้) อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าพรหมภูมิ (หรือพรหมโลก)

พระพรหมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกว่า "รูปพรหม" มีทั้งหมด 16 ชั้น และพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูปพรหม" มีทั้งหมด 4 ชั้น โดยอรูปพรหมจะสูงกว่ารูปพรหม

ตามคติเถรวาท พระพรหมไม่มีเพศ ไม่ต้องกินไม่ต้องบริโภคอาหาร เหมือนสัตว์ในภูมิอื่น ด้วยว่าแช่มชื่นอิ่มเอิบโดยมีฌานสมาบัติเป็นอาหาร จึงไม่ต้องขับถ่ายคูตรมูถ สถิตย์เสวยสุขพรหมสมบัติอยู่ ณ พรหมภูมิที่ตนอุบัติตราบจน กว่าจะสิ้นอายุ ซึ่งเป็นเวลานานแสนนาน

ในมหายาน นับถือพระพรหมในฐานะธรรมบาล ซึ่งปรากฎอยู่ในพระสูตรต่าง ๆ ที่สำคัญ และถือเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง

******

พรหมวิหาร 4 หรือ พรหมวิหารธรรม เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม เป็นแนวธรรมปฏิบัติของผู้ที่ปกครอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ ได้แก่

  1. เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า
  2. กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์
  3. มุทิตา คือ ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
  4. อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตาชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน

Cr.วิกีพีเดีย

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

อริยสัจ...ศาสนาสากล

 Cr.Somphanas Channel


"การรักษาศาสนาที่ดีที่สุด คือ การรักษาจิตตัวเอง.." หลวงตาสุริยา มหาปัญโญ




วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

เก็บมาฝาก

 


Cr.Fwd. line

สุภาษิตจีนกล่าวว่า 


“คนจะแก่ขาแก่ก่อน”


เดิน ๆ ๆ เดินให้ได้ทุกวัน

ธรรมชาติกำหนดให้เท้าเป็นผู้รับใช้ตลอดชีวิต

ชีวิตความร่วงโรยจากการแก่ชรา จะเริ่มจากเท้าขึ้นมา...


..จงทำให้ขาทั้งสองของท่านแข็งแรงและคล่องแคล่วว่องไวอยู่เสมอ..


▪︎ในขณะที่เราร่วงโรยลงทุกวัน ขาทั้งสองของเราต้องแข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เราไม่ควรกังวลไปกับเผ้าผมที่เปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ผิวหนังและผิวหน้าที่เหี่ยวย่น


▪︎วารสารชื่อดังของสหรัฐชื่อ Prevention ได้สรุปไว้ว่า คนที่อายุยืนยาวนั้น การมีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด..จงออกกำลังด้วยการเดินทุกวัน..


▪︎หากคุณไม่ขยับแข้งขยับขาสักสองอาทิตย์ ความแข็งแรงของขาของคุณขะลดลงไป 10 ปี...จงเดินเถิด..


▪︎มหาลัยโคเปนเฮเก้นที่เดนมาร์ก ได้ศึกษาพบว่า ไม่ว่าคนหนุ่มหรือคนแก่ หากไม่เคลื่อนไหวตัวเองเลยราวสองสัปดาห์ จะทำให้กล้ามเนื้อขาอ่อนแอลงไปราวหนึ่งในสาม ซึ่งจะเทียบเท่ากับการชราภาพลงไปถึง 20-30 ปี..ดังนั้น จงออกแรงเดินเสมอ...


▪︎เมื่อกล้ามเนื้อขาเราอ่อนแอลง การฟื้นตัวจะใช้เวลานานมาก แม้ว่าเราจะพยายามฟื้นฟูร่างกายและออกกำลังกายในภายหลังก็ตาม.. จงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป..


▪︎ด้วยเหตุนี้ การออกกำลังกายด้วยการเดินเสมอ จึงสำคัญมาก


▪︎ร่างกายทั้งร่างและน้ำหนักตัวของเรา ต่างมีขาทั้งสองประคองเอาไว้


▪︎ขาทั้งสองจึงทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่รับน้ำหนักทั้งหมดของตัวเรา...จงเดินต่อไป...


▪︎ที่น่าสนใจคือ 50%ของกระดูกและ 50%ของกล้ามเนื้อ ต่างอยู่ที่ขาทั้งสองของเรา..จงอย่าหยุดเดิน..


▪︎ส่วนของข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด อยู่ที่ขาทั้งสอง..จงเดินวันละหมื่นก้าว...


▪︎กระดูกและกล้ามเนื้อขาที่แข๊งแรงและข้อต่อที่ยืดหยุ่นได้ดี เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ "สามเหลี่ยมดุจเหล็ก" ที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย


▪︎70%ของกิจกรรมทางร่างกายและการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ใช้ขาทั้งสองเป็นหลัก


▪︎ใครรู้บ้างว่า เมื่อเรายังมีอายุน้อย ต้นขาของเราไม่ว่าหญิงหรือชาย สามารถจะยกรถยนต์ขนาดเล็กที่หนักได้ถึง 800 กก.


▪︎ขาของเราคือ จุดศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย


▪︎ขาทั้งสองของเราประกอบไปด้วย 50%ของเส้นประสาท  50%ของเส้นโลหิต และ50%ของระบบโลหิตที่ไหลเวียนผ่านเท้าทั้งคู่...


▪︎เท้าทั้งสองจึงเป็นระบบไหลเวียนที่ใหญ่ที่สุดที่เชื่อมโยงทั้งร่างกายเข้าด้วยกัน..จงเดินต่อไป..


▪︎เมื่อเท้าทั้งสองแข็งแรง จะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีและกล้ามเนื้อขาเข้มแข็ง ซึ่งทั้งหมดจะทำให้หัวใจแข็งแรง..จงเดินต่อไป..


▪︎การชราภาพเริ่มจากเท้าขึ้นไปยังส่วนบนของร่างกาย


▪︎เมื่อเราแก่ตัวลง ความแม่นยำและความรวดเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับเท้าทั้งสอง จะลดลง..ไม่เหมือนตอนที่ยังมีอายุน้อย.. จงเดินต่อไป...


▪︎นอกจากนั้น ส่วนที่เรียกว่า Bone Fertilizer Calcium ที่สูญเสียไปตามกาลเวลาเมื่อเราแก่ตัวลง จะทำให้คนแก่กระดูกหัก (bone fractures)ได้ง่าย..จึงควรเดินต่อไป...


▪︎อาการกระดูกหักของคนแก่อาจนำไปสู่อาการที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกหลายอย่างที่ร้ายแรง อาทิเช่นอาการเส้นเลือดในสมองอุดตัน (brain thrombosis)


▪︎รู้กันบ้างไหมว่า 15%ของคนแก่ที่มีอาการกระดูกต้นขาหัก จะเสียชีวิตไปในเวลาไม่เกินหนึ่งปี..จงเดินทุกวันอย่าได้ขาด...


▪︎การเดินออกกำลัง ไม่มีคำว่าสายไปแม้คุณจะอายุเกิน 60 ไปแล้ว


▪︎แม้กำลังขาของเราจะเสื่อมลงตามกาลเวลา แต่การเดินถือเป็นภารกิจตลอดชีวิตของเรา..จงเดินให้ได้ถึง 10,000 ก้าว..


▪︎หากเราเดินเพื่อทำให้เท้าแข็งแรง จะช่วยให้ขาของเราลดการอ่อนแอลง..จงเดินตลอด 365 วัน...


▪︎จงเดินอย่างน้อย 30-40 นาทีทุกวัน เพื่อให้เท้าทั้งสองได้ออกกำลัง และทำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงเสมอ


❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️