หน้าเว็บ

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2564

อารมณ์ มาแล้วไป...

 Cr. Fwd. Line 

🙏🤟💕 "     "โปรดใช้สื่อสังคมอย่างสร้างสรรค์  อย่าบั่นทอนความเสียสละของคนทำดี ด้วยคำพูด ดูถูกเหยียดหยาม"

" หนังเรื่องนี้ สะท้อนได้ตรงมาก คนพูดมีมากกว่าคนทำจริงๆ "🤟






วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2564

เหนือกรรม พ้นกรรม

 


เหนือกรรมพ้นกรรม ไม่ใช่หมดกรรม 
กรรมยังคงมีอยู่ทำงานอยู่ จิตเป็นผู้พ้น
 แต่กายยังอยู่กรรมก็ยังให้ผลกับกายคือทุกข์กายยังคงอยู่
 เป็นไปตามกฏที่ไม่มีใครเปลี่ยนได้
 จิตวางกายได้ปล่อยให้ทุกข์กายก็เป็นเรื่องของกาย จิตไม่ทุกข์ไปด้วย
 หรือกรรมให้ผลได้แค่กายเท่านั้น กรรมเข้าไม่ถึงจิต 
จิตไม่เห็นกายเป็นตนเป็นของตน 
เมื่อกายดับสลาย จิตที่ไม่ต้องการกายอีก
 กายใหม่ก็ไม่เกิด
 แต่อดีตกรรมที่ยังคงอยู่(จิตนี้เคยพากายไปทำไว้ในอดีต)
ก็ยังให้ผลเหมือนเดิม
 แต่เพราะกายใหม่ไม่มีมารองรับกรรม 
กรรมจึงเสมือนว่าหมดไป เพราะไม่มีผู้รับ
**********
Cr.Fwd line

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

ปริศนาธรรม

 


ภาพจากอินเตอร์เนต

Cr. Fwd. Line


(#)ปริศนาธรรม

1. ทองแท่ง  จะไร้ค่า

2. พระปฏิมา เป็นกากปูน

3. กลากเกลื้อน  จะเพิ่มพูน

4. พระพิรุณ  จะซบเซา

5. ผ้าเหลือง  จะโดนย่ำ

6. ตะกวดดำ  จะเป็นเจ้า

7. ดอกตูม  โรยแต่เช้า

8. หมาหัวเน่า  ผึ้งจะตอม

9. บุปผา  จะเป็นหมัน

10. คืนและวัน  จะสั้นเข้า

11. นกน้อย   จะลืมเหย้า

12. โคถึกเฒ่า  จะวังเวง

##################################

1.ทองแท่ง  จะไร้​ค่า

            พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีคนสนใจศึกษาก็​เหลือ​น้อยเต็มที ผู้​คนจะไม่เห็น​คุณ​ค่า  ทั้งพระสงฆ์​สามเณร​และ​ฆราวาส​ก็​เบือนหน้า​หนีพระธรรม​คำสอน กับทั้งผู้​คนก็ไม่นิยมเข้าวัดฟังธรรม เห็น​วัด​เป็น​สถานที่​ไม่น่าอภิรมย์​  เข้า​วัด​เพื่อ​ไปเที่ยว แต่ไม่เห็น​เนื้อแท้ของ​ทองคำ


2.พระปฏิมา  เป็น​กากปูน

ผู้​คนจะมองว่า​เป็น​เพียงรูป​เคารพเป็นเพียง​อิฐหินดินปูน เป็น​ของ​ประดับ เริ่มไม่เคารพพระพุทธรูปและเริ่มเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนามากขึ้น​กับทั้งมองว่า เป็น​แค่วัตถุ​ สิ่งของ 


3.กลากเกลื้อน  จะเพิ่ม​พูน

ความชั่วเลวทรามของผู้คนและความมีมิจฉาทิฏฐิจะเริ่มลุกลามแผ่ขยายมากขึ้น  กับ​ทั้งความหยาบกระด้าง​และความมีนิสัยเถื่อนถ่อยของผู้คนจะลุกลาม​เป็น​เหมือน​กลากเกลื้อนที่ติดต่อกัน​ได้  จากพฤติกรรม​เลียนแบบกัน  จะปรากฏ​ให้​เห็น​จนดาษดื่น​ไปทุกแห่ง


4.พระพิรุณ  จะซบเซา​

น้ำจิตน้ำใจของผู้คนในสังคมจะเหือดแห้ง​มากขึ้น​จะมีแต่ความเห็นแก่ตัวให้เห็น   กับทั้งฟ้าฝนก็จะแห้งแล้ง​ไม่​ตกต้อง​ตามฤดูกาล​


5.ผ้าเหลือง  จะโดนย่ำ

ผู้​คนจะไม่กลัวบาปกลัวกรรม เมามันกับการติเตียนดูหมิ่นดูแคลนพระสงฆ์ กับทั้งพระสงฆ์​ สามเณร​ ก็​ไม่ตั้ง​อยู่ใน​ศีลในธรรม  ไม่​เคารพรักธรรมนิยม ใช้​ผ้าเหลือง​แสวงหาลาภ  จะหาผู้​มีศีลมีธรรมก็เหลือ​น้อย


6.ตะกวดดำ  จะเป็นเจ้า

คนในตระกูล​ต่ำ คนมีจิตใจ​ต่ำทราม เมื่อ​ได้เป็น​ใหญ่​ครอง​อำนาจ ก็​จะ​เหลิงในอำนาจ หลงในอำนาจ  จนพาบ้านเมือง​เสียหาย   พาองค์กร​เสียหาย​  กับทั้งกินเงิน​หลวงไม่อายชาวบ้าน​ คาบไปกินต่อหน้าต่อตา​ก็​ไม่เกรงกลัว​คนเห็น 


7.ดอกตูม  โรยแต่เช้า

เด็กผู้หญิงเริ่มมีคู่ตั้งแต่อายุน้อยยังไม่โตเป็นสาวก็เที่ยวหาคู่​นอน ปทุมยังไม่เป็น​ถัน ก็​ได้เสียกันแล้ว กับทั้งเอาใจออกห่าง​พ่อแม่ แก่แดด ทั้ง​ที่​ยังเช้าอยู่​


8.หมาหัวเน่า  ผึ้ง​จะตอม

คนไม่ดีคนเนรคุณคนชั่ว  แต่สังคมจะยกย่องชื่นชม​  กับทั้ง​เชื่อ​คำพูด​คำปดของคนเหล่านี้​  ดุจผึ้งตอมกลิ่มภมรอันหอม


9.บุปผา  จะเป็นหมัน

ส่วนคนดีนั้น  ผู้คน​จะ​พากันด่า สาดเสียเทเสีย​  จนแทบแทรกแผ่นดิน​หนี คนทำดีคนจะไม่เห็น​ค่า  ทำความดีกลับ​ถูก​ต่อว่า  จนต้องแอบทำ  ทำดีเท่าไหร่​ไม่​มี​คนเห็น​ แต่​คนจะกลับ​นิยมชื่นชม​คนมีอำนาจคนมีเงินว่าเป็น​คนน่ายกย่อง​


10.คืนและวัน จะสั้นเข้า

 ผู้​คนจะเพลิดเพลิน​ไปกับการเสพสิ่งบันเทิง​ กิน เที่ยว ช้อปปิ้ง​ เล่นโซเชียล​ จนเวลาในแต่ละวัน​ผ่านไปจนไม่รู้​วันรู้คืน และวิถีชีวิต​ที่​ทำงานแลกเงินจนหมดเวลาไปกับการงาน  ไม่มี​เวลาพูด​คุย​กับในครอบครัว​ เวลา​ใน​ครอบครัว​ก็​จะ​สั้นลงไปด้วย


11.นกน้อย จะลืม​เหย้า

คนรุ่นใหม่​ เด็ก​รุ่นใหม่​ คนสมัยใหม่​ จะลืมพ่อแม่และบ้านเกิดเมืองนอนของตน  กับทั้งลืมวัฒนธรรม​ประเพณี​ของตน รากเหง้า​ของ​ตน


12.โคถึกเฒ่า จะวังเวง

คนเฒ่า​คนแก่​จะถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังขาดลูกหลานดูแล /

___________

อนุโมทนากับผู้เขียน/แปลธรรม บทนี้

คงจะแปลมาจากคำพยากรณ์ ความฝัน 16 ประการ ที่พระพุทธองค์ทรงตอบ ให้พระราชา 

ชื่อ ปเสนทิโกศล แห่งยุคพุทธกาล

ว่า เรื่องราวเหล่านี้จะเกิดขึ้นในยุคสมัยกึ่งพุทธกาลไปแล้ว  คงจะคือยามนี้ ที่ผู้คนเสื่อมจากศีลธรรม .....


---------

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2564

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2564

สารแห่งความสุข

 พบ 4 สารแห่งความสุข 

ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราทุกคน


ทุกวันนี้ที่เรายังไม่มีความสุข...เพราะเรายัง "ไม่เข้าใจ"ความสุข 


ในสมองของมนุษย์ทุกคนมีสารสื่อประสาท(neurotransmitter) อยู่ 4 ตัว ที่เมื่อหลั่งออกมาแล้ว จะทำให้รู้สึก"มีความสุข" คือ 


1.โดพามีน(dopamine) หลั่งเมื่อได้รับ

2.ออกซิโทซิน(oxytocin) หลั่งเมื่อได้ให้

3.เซโรโทนิน(serotonin) หลั่งเมื่อใจสงบ

4.เอ็นดอร์ฟิน(endorphine) หลั่งเมื่อใจร่าเริง


สารแห่งความสุขทั้ง 4 ตัวนี้ ที่มีอยู่ในร่างกายจะทำงานร่วมกันเสมอ สามารถอธิบายย่อๆได้ ดังนี้


1.โดพามีน(สารสำเร็จ 'เมื่อได้รับ') จะพรั่งพรูมาก เมื่อเราได้รับในสิ่งที่เราต้องการ 


2.ออกซิโทซิน(สารสัมพันธ์ 'เมื่อได้ให้') จะพรั่งพรูออกมามาก เมื่อเรามีความรัก ความเมตตา กรุณา จะทำให้เรารู้สึกสบายใจ ปลอดภัย และอบอุ่น


3.เซโรโทนิน(สารสงบ 'เมื่อจิตสงบ') จะพรั่งพรูออกมามาก เมื่อเรารู้สึกสงบ สบาย ผ่อนคลาย


4.เอ็นดอร์ฟิน(สารสำราญ 'เมื่อใจร่าเริง เบิกบาน') จะพรั่งพรูออกมาทุกๆครั้ง ที่เรากำลังรู้สึกมีความสุข อารมณ์ดี ดังนั้น สารเอ็นดอร์ฟิน จะหลั่งออกมามากมายเป็นพิเศษ ตอนที่เรากำลังออกกำลังกาย หัวเราะ หรือยิ้ม และทำหน้าที่เป็นยาแก้ปวดจากธรรมชาติ


เราทุกคนจึงมีความสุขซุกซ่อนอยู่ตลอดเวลา แต่อยู่ที่ว่าเราจะ"รู้วิธี"สังเคราะห์ขึ้นมาได้หรือเปล่า...


ในการสังเคราะห์ความสุข คือ เริ่ม"ขอบคุณในสิ่งที่มี" และ "ยินดีในสิ่งที่ได้" 


การลองมอง 2 ข้างทาง เพื่อเก็บเกี่ยวความสุข... ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องหยุดเดินเสียหน่อย จริงไหมครับ?


แต่ถ้าถามว่า ในโลกนี้จะมีใครสอน วิชา"สังเคราะห์ความสุข" อย่างจริงจังให้กับเราได้บ้าง ก็เห็นจะมีปรมาจารย์ท่านหนึ่ง   ท่านทรงเป็นผู้รู้ ที่รู้จักกันในนาม "พระพุทธเจ้า" 


และหากเราอยากพบท่าน  ก็ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงอินเดีย หรือเสียเงินเสียทองซื้อเครื่องย้อนเวลา เพราะปรมาจารย์ท่านนี้ ท่านทรงตรัสสอนสาวกเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า


"โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ"

(ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา)


Cr:new heart new world.

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2564

เมื่อเดินตามมรรค

 


เมื่อเดินตามมรรค


Cr.https://www.facebook.com/duenjitpage/posts/1788635504630995




ร่วมจิต ร่วมคิด ร่วมทำ นรจ.๐๙

 

รร.ชุมพลทหารเรือ เกล็ดแก้ว สัตหีบชลบุรี พ.ศ.๒๕๐๙


ร่วมจิต ร่วมคิด ร่วมทำ ในรอบปีที่ผ่านมา 


เหลือไว้ในความทรงจำ....








วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2564

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2564

กายกับใจ

 


พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า กาย กับ ใจ ของเรานี้เป็นคนละเรื่อง
และคุณค่าก็ผิดกัน
กายเป็นของช้าและเป็นของหนัก  
ใจเป็นสภาพที่เบาและเร็วมาก  
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรานึกอยากจะไปกรุงเทพฯ
เวลานี้ใจมันก็แล่นปราดไปถึงกรุงเทพฯ ทันที
วันหนึ่งๆ ก็ไปได้ไม่รู้กี่หน
แต่ส่วนเจ้ากายนี่สิ เราอยากไปมันก็ไม่ไปถึงสักที
ยิ่งคนแก่ๆ เฒ่าๆ ด้วยแล้ว กว่าจะก้าวขาไปได้แต่ละก้าวก็แทบแย่
ความเร็วความช้าของใจและกายมันผิดกันอย่างนี้
ฉะนั้น จึงว่าใจเป็นสิ่งที่เร็วมากยิ่งกว่าอะไรในโลก
และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในร่างกาย
ซึ่งเราจะต้องพากันเรียนให้รู้จักมันให้ดี
มิฉะนั้นเราก็จะไม่สามารถประสบกับความสุขได้
...........
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
"จิตใจของคนเรานั้น ถ้ามันตกไปในเรื่องดี มันก็สบายเป็นสุข
ถ้าตกไปในเรื่องชั่วมันก็ไม่สบายเป็นทุกข์"
.............
ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้เอาไปนึกคิดแต่สิ่งที่ดีๆ 
ครูบาอาจารย์ท่านสอน เช่น นึก พุทโธๆ 
ดวงจิตจะได้สบาย เบิกบานไม่ทุกข์ 
,,,,,,,,,,,,,,
จากหนังสือ ท่านพ่อลี สอนศิษย์
ธรรมบรรณาการในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
ครบมรณภาพปีที่ ๕๕


วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2564

สมถะ วิปัสสนา วิมุติ

 


...คนเรามีขา ๒ ขาก็จริง แต่เราต้องเดินทีละขา  ถ้าใครเดินทีเดียว ๒ ขาก็ก้าวไปไม่รอด หรือจะเดินแต่ขาเดียวก็ไปไม่ได้ เมื่อขาขวาหยุด ขาซ้ายก็ต้องก้าว เมื่อขาซ้ายหยุด ขาขวาก็ต้องก้าว ต้องหยุดขาหนึ่งก้าวขาหนึ่ง จึงจะมีกำลัง เพราะกำลังอยู่ที่ขาข้างที่หยุด ขาที่ก้าวไปนั้นไม่มีกำลังดอก ต้องหยุดเสียข้างหนึ่งแล้วก้าวไปข้างหนึ่ง จึงจะช่วยประคับประคองกันได้ มิฉะนั้นก็ไม่มีหลัก ต้องล้มกลิ้ง ไม่เชื่อใครลองเดินพร้อมๆ กันทีละ ๒ ขาดูบ้างซิ ว่าจะไปได้ตลอดไหม ฉันใด สมถะ วิปัสสนา ก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ดำเนินปฏิบัติเช่นเดียวกัน ต้องทำใจหยุดให้เป็น สมถะ เสียก่อน แล้วจึงก้าวไปพิจารณาเป็น วิปัสสนา อารมณ์ก็เกิดเป็นปัญญาปล่อยอารมณ์นั้นได้ก็เป็น วิมุติ การหยุดเหตุให้ได้กำลังเกิด วิชา เกิดปัญญา (อัปปนาจิต) รู้ได้ทั้งโลกและธรรมเป็นตัวอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็เข้าสู่โลกุตรธรรม
...ทำใจให้มันแคบเข้า หดเข้า สั้นเข้า จนเป็นจุดเล็กกลมกลืนอยู่ในเอกัคคตารมณ์
อย่าทำใจให้มันยื่นยาวออกไปหาสัญญาอารมณ์ภายนอก เพราะของอะไรที่มันยาวๆนั้น มันจับกันได้ง่าย ถ้าสั้นหรือกลมแล้ว มันก็จับยาก จับไม่ใคร่ติด เหมือนลูกฟุตบอลนี้นมีลักษณะกลมเราจึงจับยาก
     ฉันใดใจของเรานั้นถ้ามันสั้น แคบเข้า หดเข้า จนเกลี้ยงกลมเหลือนิดเดียวแล้ว กิเลสมันจะมาเกาะก็จับไม่ติด ต้องล่วงหลุดไปหมด   
**********
จากหนังสือ ท่านพ่อลี สอนศิษย์