"ตัดกรรมตัดเวร"
“การตัดกรรม” ก็คือหยุดทำความชั่ว ความบาป
“การตัดเวร” ก็คือหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
คือไม่แก้แค้นซึ่งกันและกัน รู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน
ผู้ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ถูกขอโทษก็ควรรู้จักคำว่าให้อภัย ไม่เป็นไรหรอก อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ใครทำกรรมใดไว้ ได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า กรรมใดใครก่อลงไปแล้ว ใจเป็นผู้จงใจคือเจตนาทำลงไป พอทำลงไปแล้วกรรมอันเป็นบาป ภายหลังเรามานึกว่าเราไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้
เพราะ “ใจ” เป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป “ใจ” ตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรม โดยหลักของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการที่เราไปทำพิธีตัดกรรมนี่ หมายถึง ตัดผลของบาป มันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด
ขอให้พุทธบริษัททั้งหลายจงปลูกฝังนิสัยให้เด็กของเราในข้อนี้
เป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญที่สุด ถ้าเด็กๆ ของเราไปนี่เข้าใจว่า ทำบาปทำกรรมแล้วไปทำพิธีล้างบาป ทำพิธีตัดกรรมแล้วมันหมดบาป ประเดี๋ยวเด็กๆ มันไปทำบาปแล้วไปหาหลวงพ่อ หลวงพี่ ตัดบาปตัดกรรมให้ มันก็ไม่เกิดความกลัวต่อบาป เพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่า ทำกรรมอันเป็นบาป แล้วตัดกรรมให้มันหมดไป มันเป็นไปไม่ได้
...แต่ "ตัดเวร" นี่มีทาง... เวร หมายถึง การผูกพยาบาท คอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา เช่น เราฆ่าเขาตาย บางทีนึกถึงบาปกรรมกลัวว่าเขาจะอาฆาตจองเวร เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่าเขาได้รับส่วนกุศลจากเรา เขาได้รับความสุข เขาเลื่อนฐานะจากภาวะทึ่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข เขานึกถึงคุณงามความดี นึกถึงบุญคุณของเรา เขาก็อโหสิกรรมให้เรา ไม่ตามล้างตามผลาญกันอีกต่อไป อันนี้ตัดเวรนี่ตัดได้
.
"พระอาจารย์พุธ ฐานิโย"
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
******
Cr.Fwd line
หน้าเว็บ
▼
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
เก็บมาฝากจากไลน์..."ที่สุด"
1. อะไร คมที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า มีดที่ลับหินดีแล้ว คมที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า. วาจาที่ใส่ร้ายผู้อื่น ทำร้ายหัวใจผู้อื่น คมที่สุด
2. อะไร ไกลที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า ดวงอาทิตย์ สุดขอบจักรวาล ไกลสุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า. อดีดที่ผ่านมาตั้งหลายกัปหลายกัลป์ ยาวที่สุด
3 อะไร ใหญ่ที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. ภูเขา โลก มหาสมุทร ใหญ่ที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า. ตัณหาความทยานอยาก ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ก่อภพก่อชาติ ใหญ่ที่สุด
4 อะไร หนักที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. หิน เหล็ก แร่ ดิน น้ำ หนักที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า. คำสัญญาใดๆ ที่พูดง่ายแต่ทำยาก คำสัญญานั้นแล เป็นสิ่งที่หนักสุด
5. อะไร เบาที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. นุ่น สำลี ลม ใบไม้แห้ง
พระพุทธเจ้าตอบว่า. การปล่อยวาง การรู้เท่าทันว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบนี้แล เบาที่สุด
6. อะไร ใกล้เราที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. พ่อแม่ ญาติ ใกล้เราที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า. ความตายที่วิ่งตามเหมือนเงาตามตัวต่างหาก ที่ใกล้ตัวเราที่สุด
7. อะไร ง่ายที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า กิน นอน พูด หายใจ ง่ายที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า. การพูดธรรมะ แบ่งปันให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น ง่ายที่สุด เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย
พราหมณ์ได้ฟังคำตอบจากพระพุทธเจ้าแล้ว ไตร่ตรองพิจารณา โดยเหตุผลแล้ว จึงยอมมอบกายถวายตัวยอมสมาทานศีล เป็นพุทธมามะกะ และได้ดวงตาเห็นธรรมโดยทั่วกัน. พร้อมกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า สัถถาเทวะมนุสสานัง พระองค์เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยแท้จริง
พระพุทธองค์ตรัสว่า.. "บุคคลแม้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองแต่ก็สามารถให้ทานกับผู้อื่นได้ด้วยสิ่งของ 5 ประการ"
1. ใบหน้าเป็นทาน : สามารถให้รอยยิ้มความสดใส
2. วาจาเป็นทาน : พูดให้กำลังใจ ชื่นชมและปลอบประโลมผู้อื่นให้มาก
3. จิตใจเป็นทาน : สามารถเปิดอกเปิดใจกับผู้อื่น ด้วยความนอบน้อมและจริงใจ
4. ดวงตาเป็นทาน : ใช้แววตาแห่งความหวังดีความโอบอ้อมอารีย์ให้กับผู้อื่น
5. กายเป็นทาน : สามารถใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
อย่าได้ตระหนี่ในการส่งต่อให้ผู้อื่น ประโยชน์จะเพิ่มพูนโปรดส่งให้กับคนที่รู้จักและเป็นญาติ ให้ได้ 108 คนแล้วจะโชคดี ร่ำรวย มั่งคั่งอย่างยิ่ง...
***
cr.fwd.line
วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
เก็บมาฝากจากไลน์
#10 ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา(อย่างสม่ำเสมอ)
(วิปัสสนา คือวาระแห่งชาติ)
#พศิน อินทรวงค์
1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะไม่มีวันเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เพราะระบบชีวิตตามความเป็นจริง หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งส่วนประกอบของชีวิตทั้งห้าส่วนนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการอ่าน การฟัง และไม่สามารถคิดนึกเอาเองได้ จำเป็นต้องฝึกสติโดยผ่านกระบวนการวิปัสสนาซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้ความจริง เกี่ยวกับชีวิตของตนเอง
2. โดยทั่วไปแล้วคนเรา มีแนวโน้มที่จะยึดติดมากกว่าปล่อยวาง แม้ปล่อยวางได้เป็นพักๆ แต่ความคิดปรุงแต่งก็จะวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ขอให้สังเกตชีวิตของตนเองอย่างเป็นกลาง ว่ามีความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือไม่ ในแต่ละวัน มีความขุ่นมัวหรือความเบิกบานใจมากกว่ากัน มีความฟุ้งซ่านหรือสงบนิ่งมากกว่ากัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่สติอ่อนกำลัง ไม่เท่าทันความคิด นี่คือธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา
3. ความคิดและจิตไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเห็นสภาวะเกิดดับของรูปนามผ่านกระบวนการความคิด ความรู้ว่าชีวิตคืออะไร คือจุดเริ่มต้นที่จะทำอะไรๆ ในชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างในชีวิตย่อมมีแต่ความผิดพลาดไปทั้งหมด คือผิดก็คิดว่าถูก รวมความว่า "เป็นผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้" และ "เป็นผู้ไม่รู้แต่ดันไปคิดว่าตนเองรู้แล้ว" เป็นความไม่รู้แบบซ้ำซ้อนอันเกิดจากการที่ปลงใจเชื่อตนเองแบบไม่เฉลียวใจ ไม่ศึกษา เปรียบเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดที่เหลือก็ไม่มีวันถูกต้องไปได้
4. ส่วนใหญ่แล้วเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ก็เป็นเพียงเป้าหมายแบบสมมุติบัญญัติ เป็นเป้าหมายที่อาจรู้สึกว่าถูกต้องในวันนี้ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามเสียมากมายในวันนี้ แต่สิ่งเดียวกันนี้ อาจกลายเป็นสิ่งไร้สาระในวันหน้า จากที่ชอบกลายเป็นไม่ชอบ จากที่เคยเทิดทูนบูชา กลายเป็นรู้สึกจืดชืดชินชา เป้าหมายชีวิตของคนที่ไม่รู้จักชีวิตตามความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา ตามวัย ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายที่มั่นคงชัดเจนที่ใช้ได้ชั่วชีวิต เนื่องจากเป็นการตั้งเป้าหมายจากสิ่งที่ตนสมมุติขึ้นมาเองแต่แรก เมื่อสมมุติเปลี่ยน เป้าหมายย่อมเปลี่ยน ถึงวันหนึ่ง แม้ลาโลกไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร
5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมชาติของจิต เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ แม้ปล่อยให้ตนเองเสพกามสุขโดยไม่เฉลียวใจ ย่อมเกิดการยึดติดในกาม อันเป็นต้นทางของความทุกข์และการเบียดเบียนผู้อื่น เราเรียนคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ เรียนธุรกิจอย่างเป็นระบบ เราเรียนภาษาต่างๆ อย่างเป็นระบบ แต่จิตใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรากลับปล่อยให้ตนเองเรียนรู้ไปตามยถากรรม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลทั่วไป
6. สติมีอยู่สามระดับ คือสติระลึกรู้ สติเห็นความคิด และมหาสติมหาปัญญา สติระดับแรก จะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ในสัตว์บางชนิดก็มีสติเช่นนี้อยู่ในบางครั้ง แต่สติสองระดับหลัง จะมีอยู่ในผู้ที่ฝึกวิปัสสนาเท่านั้น สติระดับแรก อาจใช้ทำมาหากินได้ ใช้สร้างความสุขแบบโลกๆ ได้ แต่ใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ใช้ในการศึกษาความจริงของตนเองไม่ได้ ใช้ในการดับกิเลสก็ไม่ได้ แม้ผู้ใดมีกำลังสติเพียงระดับแรก ชีวิตนี้ก็มีอันต้องพบกับความสุขความทุกข์สลับกันไปมา และจะพลาดหนทางแห่งการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง
7. จิตที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีการปรุงแต่งสูงอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ปรุงแต่งเป็นความทุกข์ เป็นความท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวัง เบื่อ ซึม เซ็ง ต่อเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ปรุงแต่งต่อไปเพื่อสร้างภพภูมิใหม่ เป็นจิตที่มีโอกาสสูงที่จะคิดนึกในเรื่องอกุศล หรือมีความขุ่นมัวในวินาทีสุดท้าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ที่ตายไปแล้วและได้เกิดมาเป็นคนอีก จะเหลือเพียงเศษดินปลายเล็บ จากดินทั้งหมดในมหาปฐพี หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อตายไปแล้ว ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเสร็จในชาตินี้ก็ไปตกนรกต่อ และบุคคลผู้นั้นก็จะพบกับความทุกข์เจ็บปวดชนิดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีกำลังสติในการควบคุมจิตสุดท้ายได้เท่านั้นเอง
8. ปกติแล้วมนุษย์จะมีกิเลสทุกชนิดอยู่ในตนเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปก่อกวน กิเลสก็จะฟุ้งกระจายออกมา เกิดเป็นความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล วิปัสสนานั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันกิเลสฟุ้งกระจายเท่านั้น แต่ยังสามารถสะสางกิเลสออกจากใจเป็นการถาวรได้ด้วย เราเรียกผู้ที่สามารถสำรอกกิเลสออกจากตนเองว่า พระโสดาบัน พระสกกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
9. เมื่อฝึกวิปัสสนาถึงระดับหนึ่ง จิตจะได้รับความสุขในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความสุขแบบละเอียด เรียกว่าสุขจากสมาธิ และสุขจากวิมุติ ซึ่งเป็นความสุขชั้นสูงที่มีไว้เฉพาะผู้ฝึกจิตเท่านั้น ปกติคนเราจะได้รับความรู้อยู่เพียงระดับกามสุข คือมีโอกาสเข้าถึงแค่ความสุขชั้นตื้นอันเกิดจากสัมผัสรับรู้ต่างๆ แม้มนุษย์ผู้ใด สัมผัสเพียงความสุขระดับกามสุข มนุษย์ผู้นั้นก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
10. วิปัสสนา ทำให้คนไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำให้คนพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง แท้จริงแล้ว วิปัสสนาคือวิถีชีวิตในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกผู้นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมของพระโสดาบันให้เกิดขึ้นในโลก สังคมของพระโสดาบันนี้ เป็นสังคมของผู้มีกิเลสน้อย เป็นสังคมแห่งสันติภาพ เป็นสังคมของคนเอาการเอางานแต่ไม่เอาชนะคะคาน เป็นสังคมแห่งความเมตตาอารีย์ ชาวพุทธทั้งหลาย จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะทำการศึกษาวิชาวิปัสสนาอย่างจริงจัง ให้เข้าใจ ให้รู้จริง ให้ขึ้นใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติลงในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติลงในการยืน เดิน นั่ง นอน รู้คิด รู้หยุดความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้จักอยู่เหนือความคิดอันนำไปสู่การอยู่เหนืออัตตาตัวตน เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จะได้สร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่น ต่อเมื่อลมหายใจสุดท้าย ก็มีโอกาสได้พบสุคติภูมิเป็นที่หมาย มีโอกาสไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้ไม่สนใจวิปัสสนาเลย โอกาสเป็นมนุษย์โดยสมบูณณ์ก็ยากยิ่ง โอกาสสู่สุคติภูมิก็ยากยิ่ง โอกาสยุติการเวียนว่ายก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีชีวิตสุขๆ ทุกข์ๆ แบบโลกๆ เช่นนี้ไปชั่วอนันตกาล!!!
ป.ล. ทุกวันนี้ผู้คนมีความทุกข์กันมาก
การไม่เท่ากันกิเลสของตน
นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้าง และสังคมด้วย ถึงเวลาแล้วหรือยัง
ที่การเจริญสติหรือวิปัสสนากรรมฐาน
จะกลายเป็นวาระแห่งชาติสำหรับประชาชนชาวไทย!!!
******************************************ติดต่อ "พศิน อินทรวงค์"
วิทยากร/ หนังสือ/บทความ
https://www.facebook.com/talktopasin2013
******************************************
Cr.Fwd.line
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
เก็บมาฝากจากไลน์
เอามาให้อ่านเล่นๆ แต่อาจต้องใช้จริงๆ.....
ผู้สูงวัยทุกคน ควรที่จะทำความเข้าใจ…และเตรียมตัว…ที่จะพบสิ่งต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น …เพื่อว่า……เมื่อเวลานั้น…มาถึงเรา…จะได้ไม่ต้องตกใจกลัว…และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน……นั่นคือ
1. จำนวนคนรอบข้างในชีวิตคุณ…มีแต่จะลดลงตลอดเวลา… คนรุ่นพ่อรุ่นแม่…หรือปู่ย่าตายายนั้น…ส่วนใหญ่หนีหายกันไปหมดแล้ว
~ ส่วนคนที่อยู่ในวัยเดียวกับคุณ…ก็จะเริ่มประสบปัญหาในการดูแลตนเอง …ในขณะที่คนรุ่นหลัง…รุ่นลูกหลาน…ก็กำลังง่วนกับชีวิต…และความเป็นอยู่ของพวกเขาเอง…… แม้แต่คู่ชีวิตของคุณเอง…ก็อาจจะจากไปก่อนคุณ …หรือเร็วกว่าที่คุณคาดไว้ ……ซึ่งอาจทำให้คุณถูกทิ้งไว้…อยู่กับวันเวลาที่ว่างเปล่าคนเดียว…ก็เป็นได้ ……คุณจะต้องเรียนรู้ที่……จะอยู่คนเดียวให้ได้…… และยอมรับ……พร้อมกับการรู้จัก…กับความเป็นสันโดษ……ในบั้นปลายของชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้น
2. สังคม……จะเริ่มให้ความสำคัญกับคุณน้อยลงไปเรื่อยๆ ……ไม่ว่าในอดีต…คุณจะเคยยิ่งใหญ่……หรือมีชื่อเสียงมากขนาดไหนก็ตาม ……ความชราจะเปลี่ยนคุณให้กลายเป็น……เพียงชายแก่……หรือหญิงแก่…ธรรมดาคนนึงเท่านั้น
~ สปอตไลท์…จะหยุดฉายมาที่คุณ …และ…คุณจะต้องหัดพอใจ…กับการยืนอยู่ในมุมห้อง……หรือ……เงามืดอย่างเงียบๆเพียงคนเดียว……คุณต้อง เรียนรู้ที่จะยอมรับ…และยินดี…กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคุณ …โดยปราศจากอาการอิจฉาริษยา……หรือคับแค้นใจ…แต่อย่างใดทั้งสิ้น
3. ถนนสายที่เหลืออยู่นั้น……จะขรุขระ…และเต็มไปด้วยอันตรายต่างๆ…ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ……เช่น……การแตกหัก ……เส้นเลือดตีบตัน ……สมองฝ่อ ……หัวใจเต้นผิดจังหวะ…ไธรอยด์เป็นพิษ…อารมณ์แปรปรวน…การหลงลืม…หรือมะเร็ง เป็นต้น
~ สิ่งเหล่านี้……ต่างล้วนจะเป็นแขก……ที่ไม่ได้รับเชิญของคุณได้ตลอดเวลา…… คุณจะต้องเรียนรู้……ที่จะอยู่กับความเจ็บป่วย …หรือ…แม้แต่ยอมรับมันมาเป็นเพื่อน
~ อย่าหวังว่า……ร่างกายคุณจะได้อยู่อย่างสุขสบายตลอดไป… การมีจิตใจและความคิดเป็นบวก……พร้อมทั้งการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ…อย่างน้อยเดินวันละ 10,000 ก้าวเป็นประจำ…จะกลายเป็นภาระหน้าที่ของคุณ ……นอกจากนั้น…คุณยังจะต้องคอยกระตุ้นตัวเอง……ให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง…และสม่ำเสมอด้วย
4. เตรียมพร้อม……สำหรับการใช้ชีวิตติดเตียง…และ…การกลับสู่สภาพทารกแรกเกิด ……เราทุกคน…ต่างเคยอยู่บนเตียง…เมื่อตอนที่แม่ของเรานำเรามาสู่โลกนี้ …และหลังจากการเดินทางผจญภัย…และการต่อสู้อันยาวนานในชีวิตแล้ว
~ เราทุกคน…ก็จะกลับมาสู่จุดเริ่มต้นเดิมอีกครั้งนึง ……เราจะถูกดูแลโดยคนอื่นเหมือนเมื่อแรกเกิด…… สิ่งที่แตกต่างกัน…ก็คือ
~ ครั้งนั้น…เราเคยมีแม่เป็นผู้ดูแล ด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ……แต่เมื่อใกล้วันที่เราจะจากโลกนี้ไป…เราอาจไม่มีญาติที่ใกล้ชิด…มาดูแลเราก็ได้ ……
~ และ…หากคุณเป็นผู้โชคดี…ที่มีญาติมาคอยดูแล… ก็คงเทียบไม่ได้กับความอาทร…และความเอาใจใส่ที่คุณเคยได้รับจากแม่ของคุณ
~ มีความเป็นไปได้……ที่คุณอาจจะถูกดูแลโดยพยาบาล……ที่แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า…… แต่จิตใจของเธอ……อาจจะมีแต่ความเหนื่อยหน่าย……ในขณะปฏิบัติหน้าที่…อันน่าเบื่อ…หรือ…แสนจะจำเจนั้น ……คุณจงฝึกนอนนิ่งๆ……อย่าจู้จี้ขี้บ่น……อย่าทำตัวให้เป็นที่ลำบากของคนอื่น ……จงรู้สึกพอใจในสิ่งที่คุณได้รับ
5. จงพร้อมที่จะพบกับสิ่งหลอกลวงต่างๆ……ที่คุณมักเจอ ……คนส่วนใหญ่รู้ว่า……ผู้สูงอายุนั้น……มักจะมีทรัพย์สินเงินทอง……ที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิต ……และ……พวกเขาก็จะพยายามทุกวิถีทาง……ที่จะหลอกเอาเงินและทรัพย์สินต่างๆนั้นจากคุณให้ได้ ……ไม่ว่าจะมาหลอกซึ่งหน้า ……การส่งข้อความ SMS……ส่ง อีเมล์ …หรือ…โซเชียลมีเดียต่างๆ ……หรือ……อาจมีตัวอย่างสินค้ามาให้ลอง…… โดยบอกว่าจะช่วยชะลอความแก่……หรือทำให้คุณอายุยืนขึ้น ……หรืออาจจะเป็นโครงการออมทรัพย์……ที่จะเพิ่มความร่ำรวยให้กับคุณอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
~ โดยพื้นฐานแล้ว …สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการ……ก็คือใช้ทุกวิถีทาง……เพื่อที่จะฉกเงินในกระเป๋าคุณให้ได้เท่านั้น
~ ดังนั้น…คุณต้องระวัง…และรู้ให้เท่าทัน …อย่าได้หลวมตัว…หรือ…หลงเชื่อ……หลวมตัวเมื่อไหร่……เงินและทรัพย์สินที่คุณสะสมไว้……จะแยกทางกับคุณทันที
~ ช่วงสุดท้ายของการเดินทางของคุณ………จะค่อยๆสว่างน้อยลงไปเรื่อยๆ ……จึงเป็นธรรมดา……ที่คุณเริ่มจะมองเห็นทางเดินข้างหน้าไม่ชัด…และ…รู้สึกลำบากที่จะก้าวเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
~ ดังนั้น…ผู้สูงวัยทุกคน… จงมองชีวิตตามความเป็นจริงของมัน ……พอใจในสิ่งที่ได้รับ……และยินดีกับสิ่งที่มีอยู่
~ ใช้ชีวิตให้สนุก……ขณะที่ยังทำได้ ……และ…ที่สำคัญ……อย่าเอาเรื่องยุ่งเหยิงของสังคม ……เรื่องการเมือง……แม้แต่เรื่องของลูกๆหรือหลานๆ……มาเป็นปัญหาของตนเอง
~ จงใช้ชีวิตอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว……และเรียบง่าย ……อย่าแสดงตัวว่า…เก่งเพราะคิดว่า……มีประสบการณ์สูง……และผ่านอะไรๆมามาก
~ อย่าดูถูกผู้อื่น……เพราะที่สุดแล้ว……มันจะทำให้คุณเจ็บเอง…เจ็บมากพอๆกับที่คุณทำให้ผู้อื่นเจ็บ
~ เมื่ออายุยิ่งมาก……คุณยิ่งต้องให้ความสำคัญ……กับการอ่อนน้อม…และเคารพต่อผู้อื่น
~ ควรทำความรู้จักกับการปล่อยวาง ……รู้จักว่าชีวิตคนเรานั้น……เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ……ควรปล่อยให้มันเดินไปตามจังหวะ……และทิศทางของมัน จงใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ สุขุม พอเพียง…ต่อการเป็นผู้สูงวัย
~ เรียบเรียงเสริมจากบทความของ คุณโจว ต้าซิน
......
Cr.Fwd.line