หน้าเว็บ
▼
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561
สวดมนต์
กำหนดสวดมนต์นี่แหละเป็น กรรมฐาน
ก็กำหนด อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นต้น สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เป็นต้น สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ เป็นต้น ให้จิตอยู่กับบทสวดมนต์นี้ วิธีที่สองนี้เป็นวิธีสาธยายกรรมฐาน แต่ว่าสาธยายอยู่ในจิต คือว่าจิตสวดมนต์ นึกถึงบทสวด และในการระลึกถึงบทสวดนั้นเมื่อมีความเข้าใจอยู่แล้ว ใจก็เข้าถึงอรรถคือ เนื้อความไว้ด้วย แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจ รู้จักไม่เข้าถึงอรรถคือเนื้อความ ได้แต่พยัญชนะคือถ้อยคำแต่ก็ทำให้ใจรวมได้ และก็ด้วยเหตุที่พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณนั้นเป็นบทที่บริสุทธิ์
แม้จิตจะระลึกถึงโดยพยัญชนะ ไม่รู้ความ ก็ยังเป็นการดี เพราะเป็นบทที่บริสุทธิ์ ไม่มีบทไหนที่ไม่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์อย่างยิ่งจริง ๆ จิตก็อยู่กับบทสวดที่บริสุทธิ์ ก็ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ และแม้ในการเจริญอานาปานสติที่หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ก็เป็นการเจริญพุทธานุสสติไปกับลมหายใจเข้าออก เมื่อเจริญหายใจเข้า ธัม หายใจออก โม ก็เป็นการเจริญธรรมานุสสติไปกับลมหายใจเข้าออก เมื่อใช้หายใจเข้า สัง หายใจออก โฆ ก็เป็นการเจริญสังฆานุสสติไปกับลมหายใจเข้าออก ดังนี้ แล
****
Cr.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=565830540482216&id=239071663158107
ก็กำหนด อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นต้น สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เป็นต้น สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ เป็นต้น ให้จิตอยู่กับบทสวดมนต์นี้ วิธีที่สองนี้เป็นวิธีสาธยายกรรมฐาน แต่ว่าสาธยายอยู่ในจิต คือว่าจิตสวดมนต์ นึกถึงบทสวด และในการระลึกถึงบทสวดนั้นเมื่อมีความเข้าใจอยู่แล้ว ใจก็เข้าถึงอรรถคือ เนื้อความไว้ด้วย แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจ รู้จักไม่เข้าถึงอรรถคือเนื้อความ ได้แต่พยัญชนะคือถ้อยคำแต่ก็ทำให้ใจรวมได้ และก็ด้วยเหตุที่พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณนั้นเป็นบทที่บริสุทธิ์
แม้จิตจะระลึกถึงโดยพยัญชนะ ไม่รู้ความ ก็ยังเป็นการดี เพราะเป็นบทที่บริสุทธิ์ ไม่มีบทไหนที่ไม่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์อย่างยิ่งจริง ๆ จิตก็อยู่กับบทสวดที่บริสุทธิ์ ก็ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ และแม้ในการเจริญอานาปานสติที่หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ก็เป็นการเจริญพุทธานุสสติไปกับลมหายใจเข้าออก เมื่อเจริญหายใจเข้า ธัม หายใจออก โม ก็เป็นการเจริญธรรมานุสสติไปกับลมหายใจเข้าออก เมื่อใช้หายใจเข้า สัง หายใจออก โฆ ก็เป็นการเจริญสังฆานุสสติไปกับลมหายใจเข้าออก ดังนี้ แล
****
Cr.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=565830540482216&id=239071663158107
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561
วิถีพระป่าฝรั่ง
#วิถีพระป่าฝรั่ง ศิษยานุศิษย์ชาวต่างชาติ ในสาย ของ หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี#
มีชาวต่างประเทศ จำนวนมาก ที่มีความเลื่อมใส ในพระธรรมคำสอน แล้ว มาบวชอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรม เป็นศิษยานุศิษย์ ของ หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี จำนวนมาก
โดย มีศิษย์ชาวต่างชาติสำคัญหลายรูป อาทิเช่น
พระราชสุเมธาจารย์ หรือ หลวงพ่อโรเบิร์ต สุเมโธ ท่านเป็นพระลูกศิษย์ชาวตะวันตกรูปแรกของพระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อพรรษาที่ 8 หลวงพ่อชาได้ส่งท่านให้ไปก่อตั้งวัดป่านานาชาติ ที่บ้านบุ่งหวาย จังหวัดอุบลราชธานี ได้ฝึกปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อชาเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี หลังจากนั้นจึงได้รับเชิญจากมูลนิธิสงฆ์แห่งประเทศอังกฤษ (The English Sangha Trust) ให้เดินทางไปอยู่ที่ลอนดอน ร่วมกับคณะศิษย์ของหลวงพ่อชา อีก ๓ รูป มูลนิธิสงฆ์แห่งประเทศอังกฤษมีจุดมุ่งหมายจะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฝึกพระภิกษุในประเทศตะวันตก โดยมีสำนักสงฆ์บ้านแฮมสเตด (The Hampstead Buddhist Vihara) ณ เมืองลอนดอนเป็นจุดเริ่มต้น สำนักสงฆ์แห่งนี้มีความเหมาะสมพอสมควร แต่คณะสงฆ์ก็เห็นข้อดีของการมีสิ่งแวดล้อมที่สงบกว่า เช่น บรรยากาศในชนบท จึงพยายามตั้งวัดป่าขึ้นในประเทศอังกฤษ และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ (พ.ศ. ๒๕๒๒) โดยดัดแปลงบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่งในเวสต์ ซัสเซกซ์ (West Sussex) ในเวลาต่อมาสถานที่นี้จึงเป็นที่รู้จักกันในนามว่าChithurst Buddhist Monastery หรือวัดป่าจิตตวิเวก (Cittaviveka) นั่นเอง
เมื่อมีวัดที่เหมาะสมขึ้นแล้ว คณะสงฆ์จึงเริ่มเติบโต มีจำนวนพระภิกษุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเริ่มมีการฝึกคณะชี (Siladhara) มีทั้งผู้ที่ต้องการจะมาฝึกมาปฏิบัติในวัด และผู้ที่ต้องการจะถวายปัจจัยสนับสนุนวัด ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้ต้องก่อตั้งวัดสาขาเพิ่มอีกหลายแห่ง ทั้งในอังกฤษ และประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันก็มีการจัดตั้งศูนย์กลางการสอนปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ขึ้น
ณ วัดอมราวดี (Amaravati Buddhist Monastery) ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๙๘๔ (พ.ศ. ๒๕๒๗) วัดแห่งนี้ต่อมาเป็นสถานที่
ที่พระอาจารย์สุเมโธพำนักอยู่เป็นส่วนใหญ่วัดอมราวดีตั้งอยู่ติดกับหมู่บ้าน Great Gaddesden ใกล้ๆ เมือง Hemel Hempstead ใน Hertfordshire ในวัดมีศูนย์ปฏิบัติกรรมฐานสำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้มาเยี่ยมเยียนวัดสามารถขออนุญาตพักอยู่ที่ศูนย์ฯ ในฐานะแขกของวัดได้ ถ้าพร้อมที่จะใช้ชีวิตในชุมชนที่มุ่งฝึกพัฒนาคุณธรรม เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และให้บริการช่วยเหลือผู้อื่น นอกจากนี้ วัดอมราวดียังได้ผลิตหนังสืออีกหลายเล่มจากคำสอนของพระอาจารย์สุเมโธ รวมทั้งเผยแพร่หนังสือเกี่ยวกับหลวงพ่อชา และครูอาจารย์อื่นๆ ทางพุทธศาสนา
-------------------------------------------------------------------------
พระภาวนาวิเทศ ( เขมธมฺโมภิกฺขุ ) เป็นพระภิกษุชาวอังกฤษ อุปสมบทในปี พ.ศ. 2515 ก่อนวันวิสาขบูชาเพียงไม่กี่วัน โดยมีหลวงปู่ชา สุภัทโท เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้เผยแผ่ธรรมในเรือนจำ จนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากประเทศสหราชอาณาจักร
-----------------------------------------------------------------------------
พระอาจารย์ปสันโน เป็นพระภิกษุชาวแคนาดา อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเพลงวิปัสสนา แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2517 ในพรรษาแรกนั่นเอง ท่านได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงปู่ชา สุภัทโท โดยการแนะนำของพระอุปัชฌาย์ของท่าน ได้พำนักที่ วัดหนองป่าพงและวัดสาขาอื่นๆ ตามโอกาสอันสมควร ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ และได้ปฏิบัติหน้าที่นี้เป็นเวลา 15 ปี
......... จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2539 ในปี พ.ศ. 2540 พระอาจารย์ปสันโน ได้สละ ตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่านานาชาติ เพื่อมาก่อตั้ง วัดป่าอภัยคีรี และ เป็นเจ้าอาวาส ร่วมกับ พระอาจารย์อมโรภิกขุ พระอาจารย์ปสันโน ได้รับแต่งตั้ง เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ " พระโพธิญาณวิเทศ " เมื่อวันที่ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ พระอาจารย์อมโร ได้รับแต่งตั้ง เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ " พระวิเทศพุทธิคุณ " เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ )
------------------------------------------------------------------------------
พระอาจารย์ฌอน ชยสาโร เป็นพระภิกษุชาวอังกฤษ ท่านอุปสมบทในปี พ.ศ. 2523 ที่วัดหนองป่าพง โดยมีหลวงปู่ชา สุภัทโท เป็นพระอุปัชฌาย์ ปัจจุบัน พำนัก ณ สถานพำนักสงฆ์ จังหวัดนครราชสีมา
----------------------------------------------------------------------
พระอาจารย์ถิรธัมโม (Tiradhammo) เจ้าอาวาส วัดโพธิญานาราม (Bohinyanarama) ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นหนึ่งในชาวตะวันตกที่เกิดในประเทศแคนาดา ปี พ.ศ. 2492 และในขณะศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ก็พบว่าไม่ได้ทำให้ท่านมีความสุขที่แท้จริง จึงออกแสวงหาความหมายในชีวิตเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ท่านเคยกล่าวไว้ว่า...
"ขณะเรียนวิชาธรณีวิทยา ตอนนั้น อาตมาเห็นความไม่มั่นคงในอิฐ หิน ดิน ทราย และความเสื่อมที่เกิดดับอยู่ทุกขณะ ทำให้ตัดสินใจละการศึกษาในมหาวิทยาลัย แล้วออกแสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต ด้วยการขี่จักรยานจากปากีสถานมายังศรีลังกา ปฏิบัติสมาธิภาวนากับ Bhikkhu Sivoli และศึกษามหาวิทยาลัยชีวิตไปจนถึงประเทศอินเดีย แล้วเดินทางมาบวชอยู่ทางเหนือในประเทศไทย"
กระทั่งได้ยินชื่อหลวงปู่ชา สุภัทโทจึงออกตามหาไปถึงวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานีในปี 2518 หลังจากนั้น ชีวิตใหม่ของท่านก็เริ่มต้นที่นี่ ในช่วง 35 พรรษาแรก ท่านได้รับนิมนต์ไปช่วยงานก่อตั้งวัดป่าสาขาหนองป่าพง ในประเทศอังกฤษ 5 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นระยะเวลาประมาณ 18 ปี .ในพรรษาที่ 36 จนถึงปัจจุบัน ท่านได้รับนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิญานาราม กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ และเตรียมเกษียณตัวเองในเร็ววันเพื่อที่จะธุดงค์ไปทั่วโลก
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นวันละสังขารของหลวงปู่ชา ท่านได้กลับมาอาจาริยบูชาที่วัดหนองป่าพง และรับนิมนต์ไปบรรยายธรรมที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เราจึงขอน้อมนำธรรมะที่ท่านฝากไว้ให้กับชาวไทยมาแบ่งปันกัน ในวันที่โลกกำลังร้อนรุ่มไปด้วยกิเลสตัณหา และมนุษย์โลกกำลังจะละทิ้งความสุขทางใจไปบูชาเงินยิ่งกว่าสิ่งใด
พระอาจารย์ธีระธัมโมบอกว่า ลิ้นท่านขึ้นสนิมแล้ว เพราะอยู่ต่างประเทศนาน แต่ธรรมที่ออกมาจากการปฏิบัติของท่านนั้น คมกริบ พร้อมตัดกิเลสอาสวะที่นอนเนื่องในจิตได้อย่างฉับพลันทันที อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ระลึกถึงพระธรรม ขุมทรัพย์ที่เรามีอยู่ และหันกลับมาขุดกันเพื่อดับความร้อนทางใจก่อนที่โลกจะลุกเป็นไฟมากไปกว่านี้
รับรส "อุบาย" หลวงปู่ชา สุภัทโท
พระอาจารย์ถิรธัมโม เล่าว่า ท่านมีประสบการณ์ทางพุทธจากมหาวิทยาลัย จากการอ่านหนังสืออย่างเดียวที่แคนาดา เรื่องฝึกจิต ต้องไปประเทศอื่น ท่านก็ไปอินเดีย แล้วก็มาเมืองไทย มีคนหนึ่งบอกว่า มีอาจารย์กัมมัฏฐานหลายองค์ ปัญหาอันหนึ่งคืออาจารย์กัมมัฏฐาน ท่านไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ พระอาจารย์ต้องอาศัยหนังสืออ่าน ตอนหลังมีข้อสงสัยเกิดขึ้น เมื่อได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อชาที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ แต่เป็นเรื่องของการฝึกจิต
การฝึกจิต คือ เราควรจะนอนกี่ชั่วโมงในเวลากลางคืน เมื่อได้พบหลวงพ่อชาในภายหลัง ได้ถามท่านว่า ในพระไตรปิฎกบอกว่า นอนสี่ชั่วโมง แต่ความจริงแล้วเราควรจะนอนเท่าไร ท่านตอบว่า แล้วแต่โยมนะ อาตมาก็เลยมีกำลังใจในการปฏิบัติคำสั่งสอนของหลวงพ่อชา เป็นคำสั่งสอนที่มีปัญญามาก ไม่ใช่คำสอนที่ออกจากหนังสือ แต่เป็นคำสอนที่ออกมาจากปัญญาจริงๆ ให้รู้กาย รู้ใจ
พระอาจารย์เดินทางมาอยู่ที่เชียงใหม่ 3 ปี แล้วก็ไปอุบลราชธานี เพื่อพบหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง ตอนที่ไปถึงครั้งแรก มาถึงแล้วมืดแล้ว ก็พยายามถามคนว่า วัดหนองป่าพงอยู่ที่ไหน ทุกคนก็รู้จัก เขาก็บอกว่า ให้ไปทางโน้น พอดีมืด เขาเลยเอาขึ้นรถมาส่งที่วัด มาถึงหน้าประตู มีคนเฝ้าประตู ชื่อพ่อทิพย์ ตาบอด
หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านมีอุบายสอนคนหลายอย่าง ให้คนตาบอดมาเฝ้าประตู เขาไม่เห็นรถ เราเข้ามาแล้ว เขาก็พยายามพูดกับอาตมา อย่ามาที่นี่มืดๆ ประตูปิดแล้ว อาตมาก็ขออภัย ไม่รู้ภาษา ก็ถามเขาว่า หลวงปู่ชาอยู่ไหน เขาก็ชี้ไปทางนั้น ในป่า อาตมาก็เดินไปชนต้นไม้ ไม่มีไฟฉาย ลืมไปว่า เขาตาบอดไม่ต้องใช้ไฟฉาย
"วันนั้นไม่มีพระฝรั่งสักคนหนึ่ง พอพบหลวงพ่อชา ท่านพูดคำเดียว เป็นภาษาอังกฤษว่า sleep แต่ไม่มีที่นอน อาตมาต้องนอนข้างนอกกุฏิ แต่อาตมาก็รู้สึกว่า เข้าวัดป่าพงแล้ว อยู่ตรงไหนก็รู้สึกสบายใจ อย่างหนึ่งอาตมาเคยอ่านพระสูตรในสมัยพุทธกาล พระก็อยู่ป่า อยู่กุฏิในป่า ที่วัดหนองป่าพงเหมือนในสมัยพุทธกาลเลย"
หลวงพ่อชา พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่รู้จักภาษาธรรมะ ท่านสอนด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่พูดมาก เรื่องพุทธ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องโบราณ หลวงพ่อชาเป็นตัวอย่างให้เราเห็นความทันสมัย ไม่ใช่สมัยพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ตอนนี้ทั่วโลกกำลังสนใจพุทธศาสนา หลายแนว
บางคน ได้เคยฝึกโยคะ เขาเห็นว่า ทำสมาธิได้สุขภาพที่ดีขึ้น หัวใจสบาย สุขภาพดีขึ้น บางคนเข้าใจปัญหา และมีทางออก สมัยนี้ คนต้องเรียนหนังสือมากๆ เพื่อให้ได้อาชีพ เรียนมากๆ ก็คิดมากๆ ไปเรียนมหาวิทยาลัย เรียนเรื่องคิดมาก ให้ปรุงแต่ง มหาวิทยาลัยเขาไม่ได้สอนวิธีระงับความคิด
"อาตมาก็เหมือนกัน อ่านหนังสือกลางวัน กลางคืนปรุงแต่งไม่หยุดเลย แต่นั่งสมาธิทำให้จิตสบาย ตอนฝึกที่เมืองไทย คิดว่า ฝึกจิตเดือนหนึ่ง ตรัสรู้แล้วจะกลับบ้าน พอฝึกไปเดือนหนึ่ง ยังไม่ตรัสรู้ ก็ขอต่ออีกเดือนหนึ่ง ผ่านไป 9 ปี ก็ต้องเรียนต่อไปอีก อาจจะต้องหลายชาติก็ได้ อยู่เมืองนอกก็พยายามฝึก เพราะอยู่ประเทศไทยฝึกง่าย ไทยเป็นประเทศสวรรค์ของพระ ไปที่ไหน คนไทยถวายปัจจัยสี่ให้เรียบร้อย อยู่ต่างประเทศ คนมองเราแปลก เอาบาตรไปเดินตามถนน เขาคิดว่าเราจะตีกลอง เขาเห็นเราแปลกประหลาด"
หลังจากนั้น ได้รับนิมนต์ไปสวิตเซอร์แลนด์ เดินบิณฑบาต 3 ปี ได้อาหาร 3 ครั้ง ครั้งแรก เป็นคนมาที่วัด อีกคนเป็นชาวฝรั่งเคยบวชที่เมืองลาว อีกคนเป็นชาวอังกฤษ พระอาจารย์เดินบิณฑบาต เขาถามว่าทำอะไร ท่านบอกว่า กำลังขออาหาร เขาบอกว่า เดี๋ยวก่อน รอก่อน แล้วก็ไปเอาแอปเปิลมาใส่บาตรให้ แต่ท่านไม่ได้อดนะ ในสวิตเซอร์แลนด์มีคนไทยหลายคน เขาก็มาวัดเสาร์อาทิตย์ เอาอาหารมาไว้ในวัด แล้วท่านก็ไปบิณฑบาตที่โรงครัว
"อาตมาเคยไปเดินธุดงค์ในประเทศไทย กับชาวเขาที่เชียงใหม่ ไปเดินบิณฑบาต อาตมาพูดกับชาวเขาไม่ได้ ใช้ภาษามือ ทำมือเอาอาหารเข้าปาก เขาเป็นคนฉลาด เขาก็เอาอาหารให้ ในเมืองนอก บางครั้งต้องสู้กับหิมะ บางที่มีพระบิณฑบาตกลางหิมะ ต้องใส่รองเท้าบูต อยู่เมืองไทย ใส่รองเท้าไม่ได้ เราต้องสู้กับสิ่งแวดล้อม ต้องมีความอดทนคือ อยู่เมืองไทยอดทนความร้อน อยู่เมืองนอกอดทนความหนาว แต่ตอนนี้ที่เราต้องต่อสู้มากที่สุดคือวัตถุนิยม"
ศาสนา VS วัตถุนิยม
หลวงปู่ชา สุภัทโท สังเกต เมืองไทยมีวัตถุสิ่งของ มันเจริญมาก ไม่มีที่สิ้นสุด วัตถุนิยม ไม่ได้สอนให้จิตใจสบายที่สุด แต่ให้เราสบายชั่วคราว เพราะมีความสุขจากของต่างๆ แต่ถ้าของต่างๆ พังไปจิตใจจะเป็นอย่างไร
ศาสนาวัตถุนิยมไม่ได้สอนไว้ อย่าง ตอนนี้มีไอโฟนห้า คนที่มีไอโฟนสี่ ก็ไม่สบายใจแล้ว ต้องเอาเครื่องไปเปลี่ยนใหม่ เมืองนอกไม่มีคำสอนที่ให้จิตใจสบาย นอกจากวัตถุนิยมอย่างเดียว คนไม่รู้จักอย่างอื่น เขาไม่รู้ว่า ความสงบเป็นอย่างไร จะฝึกปฏิบัติอย่างไร ถ้าเราไปตามวัตถุนิยมมากเกินไปจะเจอโทษ เพราะหลายคนไม่รู้จักลักษณะของจิตจริงๆ เวลามีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น เช่นไม่สบายใจ ถ้าไม่รู้จักลักษณะของอารมณ์ว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะทุกข์กับมัน
"เราจะสอนกัมมัฏฐานให้ชาวตะวันตกยากหน่อย เพราะเขาติดอารมณ์ เวลานั่งสมาธิสบายหน่อย แล้วพอความสบายหายไป เขาก็ไม่เอาแล้ว"
วิปัสสนากัมมัฏฐานมีหลายแนว มีอุบายมาก อาตมามาอยู่กับหลวงปู่ชา สุภัทโท อยากจะได้อุบายกับท่าน อะไรปฏิบัติแล้ว เร็วที่สุด ดีที่สุด ท่านไม่ให้ บอกว่า ไม่มี (หัวเราะ) ท่านก็มีปัญญารู้ คนสมัยนี้ อยากจะได้อะไรไวๆ มันเป็นกิเลส มันเป็นความโลภ ไม่ใช่เรื่องของพระธรรม
หลวงปู่ชา สุภัทโท ไม่ให้วิธีลัด แต่ท่านมีวิธีที่จะให้มีความสงบ คือปล่อยวางอารมณ์ต่าง และต้องปล่อยวาง ความปล่อยวางด้วย ตอนแรกท่านให้ยึดอารมณ์ความดี ทำความดีก็ให้ยึดอันนี้ไว้ก่อน ให้จิตได้มีอะไรยึด ตอนหลังท่านสอนให้เรารู้จักอารมณ์ในการฝึกจิตด้วย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่ดี หรืออารมณ์ไม่ดี เราก็ต้องปล่อยวางทั้งสอง
"การปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง เรามีหน้าที่รดน้ำเท่านั้น ส่วนการเจริญเติบโตเป็นเรื่องของเขา ตอนนี้ สาขาของวัดหนองป่าพง ขยายไปทั่วโลก หลวงพ่อสุเมโธก็ปลดเกษียณแล้ว อาตมาก็จะปลดเกษียณเหมือนกัน แล้วจะธุดงค์ไปทั่วโลก การธุดงค์สมัยนี้ไม่ใช่อาศัยเดินอย่างเดียว อาตมามีมือถือ รู้จักวัดสาขาหนองป่าพงทั่วโลก จะไปออสเตรเลีย แคนาดา ก็คงไม่อดข้าว"
-----------------------------------------------------------------------
พระอธิการเฮนรี่ เกวลี ชาวเยอรมัน เจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ(สาขาวัดหนองป่าพง) อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ มักจะเริ่มจากแนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับพุทธศาสนา เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีในการทำให้จิตใจสงบ ไม่มีความเครียดในชีวิต ผ่อนคลาย และหนึ่งในสิ่งที่งดงามคือ การพบพุทธศาสนา เราได้รับสารว่า ให้หยุดพักชั่วครู่ อยู่กับตัวเอง
เหมือนกับเวลาที่คนมาที่นี่ เขาได้ตระหนักว่า นอกจากการทำสมาธิโดยเฉพาะในพุทธศาสนานิการเถรวาทได้เกิดปัญญามหาศาลซึ่งสามารถนำมาใช้ในชีวิต และสำหรับพวกเราหลายคน มันเป็นสิ่งที่มีเหตุผล ทำให้พวกเราคิดได้ทันทีว่านี่แหละสิ่งที่พวกเรากำลังมองหา
เพราะคำสอนต่างๆนั้น ถูกจุด ตรงประเด็น ไม่มีอะไรที่ลึกลับรู้กันในวงจำกัด คือไม่มีสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้น ไม่มีสิ่งที่แปลกประหลาดในนั้น
เหมือนกับสิ่งที่หลวงพ่อชาสกัดออกมา พูดถึงหลวงพ่อชา หลวงปู่มั่น พวกท่านต่างเพ่งไปที่แก่นของคำสอน เช่น อริยสัจ 4 หรือไตรลักษณ์ การลดความเครียด การหยุดพักชั่วคราว การมีสติ การระลึกรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นและการค้นพบตัวเอง นั่นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนชอบในพุทธศาสนา
เราต้องการเกิดปัญญาด้วยตัวเราเอง และพุทธศาสนาก็เป็นคำสอนแห่งปัญญาในทางหนึ่งเรามาที่นี่และรู้สึกถึงความสงบ ความผ่อนคลายของผู้คนในวัดแห่งนี้ เหมือนกับคนทั่วไปในประเทศไทย
ทำให้เรารู้สึกค่อนข้างประทับใจและเกิดแรงบันดาลใจและก็มีหลายสิ่งที่ทำให้เราประทับใจอย่างมาก นั่นคือความโอบอ้อมอารีของคนไทย คนไทยชอบทำบุญ ให้การต้อนรับชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ต้อนรับพวกเราต่างชาติที่แบคแพคมา ที่มาเที่ยวชายทะเล เชียงใหม่ หรือแม้แต่มาที่อุบล มายังพุทธศาสนา ไม่รู้สึกว่ามีอคติ ผู้คนทั้งหลายแค่รู้สึกมีความสุขมากๆที่เห็นเรามา และทำให้เห็นได้ว่าพวกเขามีความสุขจริงๆ พวกเขาช่างเป็นมิตรและทำไมถึงใจดีอย่างนี้
แล้วเมื่อออกไปบิณฑบาต ก็มักจะมีชาวต่างชาติที่มาที่วัด ติดตามพระสงฆ์ออกไปบิณฑบาตในตอนเช้าด้วย และพวกเขามักจะรู้สึกซาบซึ้งประทับใจ ได้เห็นเด็กน้อยได้เห็นผู้เฒ่า ผู้แก่ที่ทางประเทศตะวันตกมักจะไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะมักจะไปอยู่บ้านพักคนชราหรือโรงพยาบาลกัน แต่ที่นี่เขาอยู่ร่วมกันในหมู่บ้าน ในเมือง ออกมาเจอกันแล้วก็ได้เห็นการให้ความเคารพ อย่างเด็กน้อยที่พูดว่า นั่งลง นั่งลง ไหว้พระเร็ว นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกซาบซึ้งประทับใจจริงๆ แต่ความรู้สึกอบอุ่นแบบครอบครัวที่เราเห็นที่เมืองไทยมันทำให้เราบางคนรู้สึกอิจฉาคนไทยจริงๆ ที่มีแบบนั้นในขณะที่ทางตะวันตกมันสูญหายไปแล้ว
แน่นอนว่าชาวต่างชาติที่มาที่นี่นั้นต่างเป็นลูกชายจากครอบครัวที่ดี ไม่ใช่แค่คนที่หลีกหนีความวุ่นวายมา แต่ยังมีคนที่รู้สึกซาบซึ้งกับวัฒนธรรมของพุทธศาสนาที่เราได้เรียนรู้มาด้วย
สิ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าคือปรัชญา คำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง อาตมาได้ศึกษาจากตำรามาบ้าง พวกเราชาวต่างชาติได้มีโอกาสอ่านพระสูตรที่ขายอยู่ในร้านหนังสือ อย่างไปฝรั่งเศส ไปร้านหนังสือ ก็สามารถซื้อหนังสือเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ พอได้อ่านแล้วก็รู้สึกได้แรงบันดาลใจ จากนั้นก็รู้ว่า พระทำสมาธิ ชาวพุทธทำสมาธิ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อาศัยอยู่ในสถานที่อย่างหลังคาโลก แล้วก็เกิดอยากทำบ้าง
แล้วประการที่สามคือ จากนั้นก็ได้ค้นพบว่า โอ้ ความเป็นพุทธนี้อยู่ที่นี่ ผู้คนมาที่อุบล หรือมาเมืองไทย แล้วก็เห็นความงดงาม เห็นผู้คนที่นี่ให้ความเคารพกับศาสนา กับพระสงฆ์ เห็นความโอบอ้อมอารี ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้เราฉุกคิดว่า เราได้ทำอะไรมาบ้าง ซึ่งอาจจะไม่ค่อยมีคุณค่านัก หรืออยากจะเปลี่ยนชีวิต
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราชาวต่างชาติถึงมาที่นี่
****
cr.facebook
บทปลอบใจ
บทปลอบใจ
——————
ไม่เริ่มก้าว จะหนาวเหน็บ และเจ็บปวด
อย่าก้าวพรวด จะเสียหลัก หมดศักดิ์ศรี
ค่อยๆก้าว ก้าวช้าๆ ดูท่าที
เป้าหมายดี ชี้ทางเดิน เจริญทุกราย
อย่าหลับตา ปรารถนาถึง จึงสำเร็จ
ล้มอย่าเข็ด เช็ดน้ำตา อย่ากลัวสาย
จงพากเพียร ค่อยเรียนรู้ สู้จนตาย
อย่าได้อาย แหวกว่ายต่อ อย่ารอจม
เสียงนกกา หมาเห่าใส่ อย่าไหวหวั่น
อย่าทิ้งฝัน ขยันตื่น อย่าขื่นขม
อย่าโทษฟ้า ชะตากรรม รอคำชม
แค่คลื่นลม เดี๋ยวก็พ้น ทนต่อไป ฯ
วัดพระมหาชนก บ้านพลังเพียร
3.29.2018
******
Cr.Facebook วัดมหาชนก บ้านพลังเพียร
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561
เก็บมาฝากจากไลน์
(ภาพนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบทความแต่ประการใด)
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สมศีล ฌานวังศะ ราชบัณฑิต
(ท่านผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจให้ได้แปลบทธรรมะเป็นภาษาอังกฤษ
จากเจ้าประคุณสมเด็จ ปยุตฺโต หลายผลงานมาโดยต่อเนื่อง)
ได้กรุณาแปลเป็นภาษาอังกฤษและส่งไปให้ ตามที่แนบ
จึงขอส่งมาแชร์เพื่อท่านจักได้ใช้เป็นประโยชน์
ธรรมะจัดสรร
วิโรจน์ ตังเดชะหิรัญ
++++++++
Jason C ศ.ดร.สมศีล
ไม่ขอให้มีความสุขตลอดไป
เพราะเป็นไปไม่ได้
แต่เมื่อต้องเจอความทุกข์
ก็ขอให้มีจิตที่สงบ
ไม่เร่งร้อนไปกับทุกข์ที่ต้องเจอ
I don’t wish to be happy forever,
for that is impossible.
But when I must encounter suffering,
I do wish to have a calm mind,
not harrowed by the suffering encountered.
ไม่ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไป
เพราะความเป็นจริง..สังขารนั้นไม่เที่ยง
แต่เมื่อต้องพบเจอกับความเจ็บป่วย
ก็ขอให้ใจนั้นไม่ป่วยตาม
I don’t wish to be in strong health forever,
for in reality all compounded things are impermanent.
But when I must experience illness,
I do wish for the mind not to be also ill.
ไม่ขอให้ร่ำรวย
เพราะต้นทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน
แต่ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่มีพอเพียง
และอิ่มเต็มจากข้างในจิตใจ
แล้วเราก็จะรวยและสุขใจ
เพราะไม่ทุรนทุรายร้องขอในสิ่งที่ไม่มี
I don’t wish to be wealthy,
for all are not equal in their capitals.
But I do wish to be happy with what there is sufficiently
and be sated from within the mind so that
I will then be rich and happy –
minded for not restlessly pining for what there is not.
ไม่ขอให้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ
เพราะสิ่งดี ๆ นั้นมีเป็นบางเวลา
แต่ขอให้เข้าใจในความเป็นจริงว่า..
ทุกคนต้องประสบพบเจอความผิดหวัง
เพราะมันคือสัจธรรม
I don’t wish to come across only good things,
for good things come along only once in a while.
But I do wish to understand the reality that everybody has to meet
with disappointment,
for that is the truth.
………….
Jason C ศ.ดร.สมศีล
วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2561
คิดแบบเรียบง่าย..
(ภาพจากอินเตอร์เนต)
วิศวกรออกแบบรถได้อย่างเยี่ยม เป็นที่ชื่นชอบยกย่องของทุกฝ่าย.
จนกระทั่งรถมาถึงห้อง
showroom ถึงได้รู้ว่า...
รถสูงเกินประตูทางเข้า showroom อยู่ 2 นิ้ว
วิศกร ช่างสี ตลอดจนทุกฝ่ายและ CEO ผู้บริหารต่างสับสน&ผิดหวัง
วิศวกรบอกจะทุบฝาผนังบนวงกบประตูทางเข้าเพื่อเอารถเข้า แล้วซ่อมประตูทางเข้าใหม่ทีหลัง
ช่างสี บอกว่าดันรถเข้าไปก่อนแม้จะมีรอยขีดข่วนบ้าง
ก็สามารถโป้วสีทำใหม่ทีหลังให้เหมือนเดิมได้
CEO ไม่เห็นด้วยกับแนว
คิดเหล่านี้เพราะมองว่าเป็นสัญญาณเลวร้าย
ยามเฝ้าประตูสังเกตความวุ่นวายเหล่านี้อยู่พักหนึ่ง
จึงค่อยๆถ่อมตัวเข้าหา CEO เพื่อขออนุญาตเสนอแนวคิด
ยังความแปลกประหลาดใจให้ทุกฝ่ายที่มองอยู่
ยามบอกว่า
"รถมันสูงกว่าประตูแค่2นิ้วเอง วิธีแก้ง่ายนิดเดียว แค่ปล่อยลมยางล้อรถออก รถก็จะต่ำลงแล้วจะเข้าประตูได้"
ทุกคนปรบมือให้ยาม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
จงอย่ายึดมุมมองหรือแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญ
ร่ำไป เวลาแก้ปัญหา จงมองหาแนวคิดหรือมุมมองของชาวบ้านธรรมดาบ้าง.
ปัญหาต่างๆที่ประสบในชีวิตมักคล้ายคลึงกัน ขอให้คิดแบบเรียบง่ายเสียก่อนเพราะพื้นเพมนุษย์เป็นสุขอยู่กับความเรียบง่ายอยู่แล้ว
แค่ปล่อยลมแห่งความโกรธ
ลมแห่งความผิดหวัง
ลมแห่งอัตตาออกเสียบ้าง
แล้วปรับท่าทีที่ยืดสูงเกินไปลงมาเสียบ้าง ทุกอย่างก็แก้ไขได้.
"ชีวิตนี้น่าจะงดงาม"
"พึงเป็นสุขกับทุกขณะจิต"
"ฤดูกาลย่อมเปลี่ยน"
"สถานะการณ์ย่อมเปลี่ยน"
************************
ขอขอบคุณข้อมูล Cr.Fwd Line
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561
อยู่คนเดียว..
ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มมีความสุขกับ “การอยู่คนเดียว” 10 อย่างนี้จะเกิดขึ้น
หลายต่อหลายคนบอกว่า “การอยู่คนเดียว” คือสิ่งที่แย่ ไม่มีใครอยู่ได้หรอก อาจเป็นเพราะคุณต่อต้านการอยู่กับคนอื่น ต่อต้านการเข้าสังคม หรือไม่ก็คุณไม่มีคนคบ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน “การอยู่คนเดียว” ถูกมองว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
แต่ความจริงแล้ว การอยู่คนเดียวไม่ได้แย่อย่างที่คิด ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย แต่มันกลับมีประโยชน์กับคุณเสียด้วยซ้ำ
1. คุณเหมือนได้ชาร์จแบตจนเต็มอีกครั้ง
ต้องบอกว่า การอยู่กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนหมู่มาก คุณจะเสียพลังงานเยอะ ต้องทำให้คนอื่นมีความสุข ทำให้คนอื่นๆ พอใจ รักษาภาพลักษณ์ตัวคุณเอง วางตัว และอีกหลายๆ อย่างที่คุณต้องทำเมื่ออยู่กับคนอื่นๆ และสิ่งนี้ต้องการพลังงานอย่างสูง เพราะฉะนั้น การได้อยู่คนเดียวซักพัก คุณจะเหมือนได้หยุดนิ่ง และเติมพลังงานเข้าสู่ร่างกายสักพักจริงๆ
2. คุณได้มีเวลามองย้อนดูชีวิตคุณเอง
ชีวิตเราบางทีก็เดินไปเร็ว เพราะโลกมันหมุนเร็ว สังคมมันหมุนเร็ว ทุกอย่างแข่งขันกับเวลา ทำให้บางครั้งเราไม่มีเวลาหยุดและมองสะท้อนชีวิตเราเอง วิเคราะห์สังเคราะห์ความเป็นไปของชีวิตเราเอง เพราะมัวแต่สนใจสิ่งรอบข้างและคนอื่นๆ มากเกินไป เพราะฉะนั้น การอยู่กับตัวเองคือเวลาที่เหมาะที่สุดที่คุณจะได้คิดถึงตัวเอง มองตัวเองได้ดีที่สุด
3. คุณได้สนใจอารมณ์ความรู้สึกตัวเองมากขึ้น
หลายๆ ครั้งเราสนใจแต่ความรู้สึกของคนอื่นๆ แคร์ความรู้สึกและอารมณ์คนอื่นๆ จนลืมไปว่าเรามีอีกคนที่เราควรแคร์ อีกความรู้สึกที่เราควรใส่ใจ นั่นก็คือตัวเราเอง และหากคุรไม่ได้อยู่กับตัวเองเลย คุณจะหยุดเพื่อแคร์ความรู้สึกของคุณได้อย่างเต็มที่และควรจะเป็นได้อย่างไร
4. คุณจะเริ่มทำในสิ่งที่คุณทำแล้วคุณเองมีความสุข
เวลาคุณอยู่กับคนอื่นๆ คุณจะอยู่ในจุดที่ว่า ประนีประนอมทำในสิ่งที่ทุกคนโอเค ทุกคนไปกันได้ อาจจะไม่มีความสุขเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอม เพราะบางทีสิ่งที่คุณชอบมากที่สุด คือคนละสิ่งกับทั้งกลุ่ม หรือคนรอบข้างคุณต้องการ เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้อยู่คนเดียว นั่นคือ เวลาแห่งความสุขที่คุณจะได้ทำตามใจตนเอง
5. คุณจะทำหลายๆ อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
เวลาอยู่กับเพื่อน กับแฟน เคยเป็นหรือไม่ อ่านหนังสือก็ไม่ถึงไหน งานไม่เดิน มันแต่เล่น มัวแต่คุย สวีทกับแฟน และอีกหลายๆ อย่างตามมา ดังนั้นการได้ใช้เวลาอยู่คนเดียวบ้าง นั่นคือเวลาที่งานของคุณจะเดินมากที่สุด ลองสิ คุณจะมีประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นเยอะสุดๆ เลยทีเดียว
6. คุณจะรู้สึกว่าเวลาอยู่กับคนรักจะมีความสุขมากขึ้น
เพราะอะไร? เพราะหากคุณได้อยู่คนเดียวเป็นปกติ และมีความสุขกับมัน พอช่วงไหนที่ใช้เวลาอยู่กับแฟนมันก็จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอีกแบบ สุขเป็นพิเศษนั่นเอง นั่นอาจเป็นเพราะ ตอนที่อยู่คนเดียว คุณได้มีโอกาสเข้าใจตัวเองมากขึ้น มองเห็นตัวเองมากขึ้น และคุณรู้ว่าความรัก ความสัมพันธ์ในสายตาคุณคืออะไร และคุณจะมีความสุขมากขึ้นนั่นเอง
7. คุณรู้สึกพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น
คุณจะมั่นใจมากขึ้นหลายเท่าว่าคุณสามารถอยู่ได้บนลำแข้งของตนเอง พึ่งพาตัวเองได้ ไม่กังวล ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์ หากเพื่อนไม่ว่างไปทานข้าวกับคุณ แฟนไปต่างประเทศ คุณก็สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้อย่างมีความสุขนั่นเอง
8. คุณจะได้พักบ้างจากการพยายามทำให้คนอื่นมีความสุข
ชีวิตคนเราต้องเจอคนมากมาย ตั้งแต่คนในครอบครัว เพื่อน คนรัก เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และอีกสาระพัดที่เราเจอรายวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนกันในทุกความสัมพันธ์ก็คือ การที่เราต้องพยายามทำให้คนอื่นๆ รู้สึกดีกับเรา ซึ่งแน่นอนก็ดีกว่าทำให้เขาเกลียดเรา ต้องทำให้เขามีความสุข และพึงพอใจ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นบางทีก็ทำให้คุณเหนื่อยนะ การอยู่คนเดียวทำให้คุณได้พักจากสิ่งเหล่านั้นบ้าง เพราะสิ่งที่คุณต้องแคร์คือคุณคนเดียวเท่านั้น
9. คุณไม่ต้องขอโทษอะไรเลย หากทำอะไรผิด
หากคุณอยู่คนเดียว ไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณจะไม่ต้องขอโทษหากคุณทำสิ่งใดผิด คุณจะไม่ต้องระวังคำพูดที่จะกลัวให้ใครเสียใจและต้องขอโทษขอโพย และอยากจะบอกว่า มันลดแรงกดดันที่คูณจะมีในชีวิตไปได้มากเลยล่ะ
10. คุณไม่ต้องรอคอยคำว่า “OK” จากใครอีก
หลายๆ ครั้งเวลาจะทำอะไร จะซื้ออะไร เรารู้สึกว่าเราต้องบอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกพี่น้อง และต้องการฟังคำว่า OK จากพวกเขา เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่คุณคิด คุณจะทำ คือสิ่งที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ามันมีหลายครั้งที่ชีวิตต้องการคำแนะนำจากคนที่เคยผ่านมันมาก่อน แต่นั่นไม่ได้หมายความเช่นกันว่าทุกครั้ง ต้องเป็นแบบนั้น และการที่คุณได้อยู่คนเดียว ได้ตัดสินใจเองคนเดียว ก็เป็นความสุขอีกอย่างที่น่าลองเหมือนกันนะ
จริงๆ แล้ว การอยู่คนเดียวก็ไม่แย่อย่างที่ใครหลายๆคนคิดนะ ลองอยู่กับตัวเอง ได้คิดได้ลองทำอะไรหลายๆอย่าง
อย่าลืมส่งเรื่องดีๆ แบบนี้ไปให้เพื่อนของคุณด้วยล่ะ แชร์เลย!
ขอบคุณข้อมูลจาก : kiitdoo
วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561
๕๒ ปี นาวี ๐๙
วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๑
"เรารุ่นเดียวกัน"
ผ่านไปแล้วนะครับ ปีละครั้ง ที่พวกเรานัดหมายมาพบกันทุกปี ประมาณวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ของทุกปี..
"ไม่ว่าเพื่อนจะมาร่วมงาน หรือไม่มาร่วมงาน เราคือ"เพื่อน"กัน และระลึกถึงกันอยู่ตลอดเวลา เราคงมีเวลาเหลืออีกไม่นานที่จะได้อยู่บนโลกใบนี้..." ก็ขอนำภาพบรรยากาศที่เพื่อนๆ มาพบกัน...มาฝาก..ขอบคุณมากครับ..
วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561
ปัญหาที่เข้าใจยาก
ปัญหาที่เข้าใจยาก 7 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
1. สิ่งที่คมที่สุดในโลกคืออะไร
คนทั่วไปตอบพร้อมกันว่า “มีด”
พระองค์ตอบว่า สิ่งที่คมที่สุดคือ “ลิ้นของมนุษย์” เพราะว่า ด้วยลิ้น มนุษย์ใส่ร้ายคนอื่น ทำร้ายหัวใจคนอื่น ทำร้ายความรู้สึกคนอื่น เป็นต้น
2. ระยะทางที่ไกลที่สุดในโลกจากตัวเราคืออะไร
บางคนตอบว่า ห้วงอวกาศ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์
พระองค์ตอบว่า ระยะทางที่ไกลที่สุด คือ “อดีต” เพราะว่า ไม่ว่าใครก็ตาม จะรวยหรือไม่ ไม่สามารถย้อนกลับไปอดีตได้ ดังนั้นเราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้ววันนั้นจะมาถึง
3. สิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้คืออะไร
บางคนตอบว่า ภูเขา โลก ดวงอาทิตย์
พระองค์ตอบว่า สิ่งที่ใหญ่ที่สุด คือ “ความปรารถนา” หรือ “ความรุ่งโรจน์” เพราะว่า มนุษย์ส่วนใหญ่กลายเป็นคนเคราะห์ร้ายเพราะว่ายอมตามใจต่อความปรารถนาของตนเอง วิถีทางต้องจัดให้เป็นระเบียบเพื่อตระหนักถึงความฝันและความปรารถนาของโลก ดังนั้ควรระมัดระวังความปรารถนา
4. อะไรที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก
บางคนตอบว่า เหล็ก ธาตุเหล็ก ช้าง
พระองค์ตอบว่า ยากที่สุด คือ“คำสัญญา” หมายถึง พูดง่ายแต่ทำยาก
5. อะไรที่เบาที่สุดในโลก
บางคนตอบว่า ฝ้าย ลม ฝุ่น ใบไม้
พระองค์ตอบว่า เบาที่สุดในโลก คือ“ลืมฉันและปล่อยฉัน”
มองดูคนหลายๆคนวิ่งไล่ตามความร่ำรวย แต่บางคนก็ปล่อยวาง
6. อะไรที่ใกล้กับเรามากที่สุด
บางตนตอบว่า พ่อแม่ เพื่อน และ ญาติ
พระองค์ตอบว่า ที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด คือ “ความตาย” เพราะว่าความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด เกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาที
7. คำถามสุดท้าย “อะไรที่ง่ายที่สุดในโลก”
ทุกคนตอบว่า การกิน การนอน การพูดคุย
พระองค์ตอบว่า ง่ายที่สุด คือ “ร่วมกันแบ่งปันธรรมะนี้” เพราะว่ามันจะเป็นการสะท้อนที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆคุณที่ได้อ่าน ถึงแม้ว่าไม่ใช่ชาวพุทธก็เพิ่มพูนความรู้และสติปัญญา
ขอให้ท่านทั้งหลายมีแต่ความสุข
*****
Cr.Fwd Line